สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

diksp2



     "แม่น้ำป่าสัก" เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่สุดสายหนึ่งของชาวจังหวัดลพบุรีและสระบุรี ประชาชนจะได้ประโยชน์จากแม่น้ำป่าสักอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรมหรือการประมง แต่ในช่วงเดือนสิงหาคม - เดือนตุลาคมของทุกปี จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี เช่น ตำบลมะนาวหวาน ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล และหมู่บ้านใกล้เคียงอีก รวมไปถึงจังหวัดสระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับในช่วงเดือนมกราคม - เดือนพฤษภาคม พื้นที่ในลุ่มน้ำป่าสักก็จะประสบภาวะแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภค บริโภค

     ในปี 2508 กรมชลประทานได้เริ่มศึกษาโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ แม่น้ำป่าสัก แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงจึงได้ระงับโครงการฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายหลายด้าน แต่หลายครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรจังหวัดลพบุรีด้วยความห่วงใย และได้เสด็จไปทอดพระเนตรพื้นที่ในเขตอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีที่กำลังประสบปัญหาอยู่
     ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล และด้วยความห่วงใยในพสกนิกร ของประชาชน ด้วยพระอัจฉริยภาพที่ล้ำลึกและเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงแก้ปัญหาให้ "ความโหดร้าย" ของแม่น้ำป่าสักกลับกลายเป็น "ความสงบเสงี่ยม" ที่น่านิยม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหาทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2532 พระองค์ท่านได้มีพระราชดำริให้กรมชลประทานดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนน้ำ เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้น

     วันที่ 1 กรกฎาคม 2535 กรมชลประทานได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ศึกษา ความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเขื่อนเก็บน้ำป่าสัก รวมทั้งแผนปฏิบัติการแก้ไข พัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นแกนกลางในการดำเนินงานสนับสนุนด้านงบประมาณ ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ว่า

     ...ปัญหาเรื่องภัยแล้งนี้จะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ และหมู่นี้ก็พูดกันอย่างขวัญเสียว่าอีกหน่อยต้องปันส่วนน้ำหรือต้องตัดน้ำประปา อันนี้สำหรับกรุงเทพฯ ดังนั้นต้องหาแนวทางแก้ไข ซึ่งปัญหานี้ต้องวางแผนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ถ้าหากว่าได้ปฏิบัติในวันนี้ เราก็ไม่ต้องพูดถึงการขาดแคลนน้ำ โครงการโดยเฉพาะนั้นก็มี และโครงการนั้นได้ยืนยันมาเมื่อเดือนกว่าแล้วที่นราธิวาส ได้วางโครงการและแม้เป็นโครงการที่ไม่ได้แก้ปีนี้ หรือปีหน้า แต่ถ้าทำอย่างดีประมาณ 5 หรือ 6 ปี ปัญหาน้ำขาดแคลนในกรุงเทพฯจะหมดไปโดยสิ้นเชิง อาจจะนึกว่า 5-6 ปี นั้นนาน ความจริงไม่นานและระหว่างนี้เราก็พยายามแก้ไขเฉพาะหน้าไปเรื่อย แต่ถ้ามีความหวังว่า 5-6 ปีปัญหานี้คงหมดไปก็คงมีกำลังใจที่จะฟันฟ่าชีวิตต่อไป
     ที่ว่า 5-6 ปีนี้ ความจริงได้เริ่มโครงการนี้มากว่า 5-6 ปี โครงการที่คิดจะทำนี้บอกได้ ไม่กล้าพูดมาหลายปีแล้ว เพราะเดี๋ยวจะมีการคัดค้าน จากผู้เชี่ยวชาญจากผู้ที่ต่อต้านการทำโครงการแต่โครงการนี้เป็นโครงการที่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย แต่ถ้าดำเนินไปเดี๋ยวนี้อีก 5-6 ปี ข้างหน้าเราก็สบาย แต่ถ้าไม่ทำในอีก 5-6 ปี ข้างหน้าราคาค่าสร้าง ค่าดำเนินการก็จะขึ้นไป 2 เท่า 3 เท่า ลงท้ายก็จะต้องประวิงต่อไป และเมื่อประวิงต่อไปไม่ได้ทำ เราก็ต้องอดน้ำแน่ จะกลายเป็นทะเลทราย แล้วเราก็จะอพยพไปที่ไหนไม่ได้ โครงการนี้คือสร้างอ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง แห่งหนึ่งคือแม่น้ำป่าสัก อีกแห่งคือแม่น้ำนครนายก สองแห่งรวมกันจะเก็บกักน้ำเหมาะสมพอเพียงสำหรับการบริโภค การใช้ในเขตกรุงเทพฯ และเขตใกล้เคียงที่ราบลุ่มของประเทศไทยนี้ สำหรับการใช้น้ำนั้น ต้องทราบว่าแต่ละคนใช้อยู่อย่างสบายพอสมควร โดยเฉลี่ย คนหนึ่งใช้วันละ 200 ลิตรถ้าคำนวณดูว่า วันละ 200 ลิตรนี้ 5 คน ก็ใช้ 1,000 ลิตร คือ หนึ่งลูกบาศก์เมตรต่อวัน ถ้าปีหนึ่งคูณ 365 ก็หมายความว่า 5 คนใช้ในหนึ่งปี 365 ลูกบาศก์เมตรในกรุงเทพฯและในบริเวณใกล้เคียงนี้เรานับเอาคร่าว ๆ ว่ามี 10 ล้านคน 10 ล้านคนก็คูณเข้าไป ก็เป็น 730 ล้านลูกบาศก์เมตรฉะนั้นถ้าเราเก็บกัก 730 ล้านลูกบาศก์เมตร ในเขื่อน เราก็จะสามารถที่จะบริการคนในละแวกนี้ คนในภาคกลางใกล้กรุงเทพฯนี้ได้ตลอดไป แล้วก็ไม่มีความขาดแคลนเขื่อนป่าสักที่ตอนแรกวางแผนให้จุได้ 1,350 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่แก้ไปแก้มาก็เหลือ 750 ล้านกว่า ๆตามตัวเลขที่ให้ไว้นี้ แม้เขื่อนป่าสักเขื่อนเดียวก็พอ พอสำหรับการบริโภคแน่นอน ไม่แห้ง ถ้าเติมอีกโครงการที่นครนายก จะได้อีก 240 ล้านลูกบาศก์เมตร ก็เกินพอ...

การดำเนินงานของ "เขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก" มีได้ดังนี้

  • พ.ศ. 2508 - กรมชลประทานเริ่มศึกษาโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก แต่เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่ค่าใช้จ่ายสูงจึงต้องล้มเลิกไป
  • 19 ก.พ. 2532 - มีพระราชดำริให้ศึกษาโครงการฯ อย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขภัยแล้ง
  • ก.ค. 2535 - ก.ย. 2536 - กรมชลประทานได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบของโครงการฯ
  • 23 ก.พ. 2537 - ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
  • 3 พ.ค. 2537 - ครม.อนุมัติให้เปิดโครงการฯ
  • 2 ธ.ค. 2537 - เริ่มงานก่อสร้าง
  • 15 มิ.ย. 2541 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีปิดประตูเขื่อน เพื่อเริ่มทำการกักเก็บน้ำ ณ หัวงานเขื่อนป่าสัก อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
  • 20 ต.ค. 2541 - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อเขื่อนว่า   เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ( Pa Sak Joalsid Dam) ตาม หนังสือสำนักราชเลขาธิการที่ รล0003/1422 ซึ่งหมายความว่า เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ   (Pa Sak Dam Which Returns Water efficiently)
  • 30 ก.ย. 2542 - งานก่อสร้างเสร็จ
  • 25 พ.ย. 2542 - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนิน เปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ที่ตั้งของโครงการฯ
     ที่ตั้ง ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และตำบลคำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี เป็นเขื่อนดินชนิดมีแกนดินเหนียว ยาว 4,860 เมตร สูง 31.50 เมตร ระดับน้ำกักเก็บสูงสุด + 43.00 ม.รทก. เก็บน้ำได้ 960 ล้าน / ลบ.ม.

พื้นที่ของโครงการฯ
      พื้นที่โครงการมี 105,300 ไร่ มีรายละเอียดดังนี้
     - จังหวัดลพบุรี 96,658 ไร่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพัฒนานิคม อำเภอท่าหลวง อำเภอชัยบาดาล รวม 13 ตำบล 60 หมู่บ้าน
     - จังหวัดสระบุรี 8,642 ไร่ 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอวังม่วง รวม 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน รวม 2 จังหวัด 4 อำเภอ 1 5 ตำบล 65 หมู่บ้าน

งบประมาณการดำเนินงาน
งบลงทุน

1)   งานก่อสร้างด้านชลประทาน   
งบประมาณ
5,098.5173
ล้านบาท
      1.1 เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ 
"
2,656.0000
ล้านบาท
      1.2 ระบบชลประทาน
"
1,267.5173
ล้านบาท
      1.3 ก่อสร้างส่วนประกอบอื่น
"
1,175.0000
ล้านบาท
2)   งานแก้ไขและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
งบประมาณ
14,132.2750
ล้านบาท
      2.1 แผนกการประชาสัมพันธ์
"
5,5690
ล้านบาท
      2.2 แผนกการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สิน
"
8,520.7900
ล้านบาท
      2.3 แผนการจัดตั้งถิ่นฐานใหม่และการพัฒนาส่งเสริมอาชีพให้แก่ราษฎร
"
3,284.0000
ล้านบาท
      2.4 แผนของการป้องกันแก้ไขและพัฒนา
"
2,224.0280
ล้านบาท
เส้นทางคมนาคม
- รถไฟ
"
2,169.0280
ล้านบาท
- ทางหลวง
"
55.0000
ล้านบาท
       2.5 แผนการแก้ไขและพัฒนาสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆ 
งบประมาณ
97.8880
ล้านบาท
             2.5.1 แผนงานด้านโบราณคคี
"
    8.0000
ล้านบาท
             2.5.2 แผนนำไม้ออกและแผ้วถางป่า
      "      
36.6360
ล้านบาท
             2.5.3 แผนการอพยพและอนุรักษ์สัตว์ป่า
"
9.7520
ล้านบาท
             2.5.4 แผนงานด้านทรัพยากรแร่
"
0.2000
ล้านบาท
             2.5.5 แผนการควบคุมคุณภาพน้ำ
"
14.2000
ล้านบาท
             2.5.6 แผนการเตรียมการด้านสาธารณสุข
"
19.5000
ล้านบาท
             2.5.7 การติดตามและประเมินผล
   "   
9.6000
ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น
19,230.7900
ล้านบาท


ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก

     เนื่องจากเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก ก่อสร้าง ณ บริเวณทุ่งราบภาคกลาง จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน สิ่งปลูกสร้าง สาธารณะ และสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนมาก กล่าวโดยสรุปคือ ทางด้านประชาชน มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ 114,119 ไร่ แต่มีพื้นที่ของราษฎรได้รับผลกระทบอันเป็นเหตุให้ต้องมีการโยกย้าย 100,944 ไร่ ในเขต 2 จังหวัด 4 อำเภอ 15 ตำบล 65 หมู่บ้าน รวมประชาชนประมาณ 7,700 ครอบครัว และมีพื้นที่ที่จะต้องจ่ายค่าทดแทนที่ดิน 96,700 ไร่ โดยแยกเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้           

จังหวัดลพบุรี  มีพื้นที่ 96,658 ไร่ อยู่ในพื้นที่ 3 อำเภอ 13 ตำบล 60 หมู่บ้าน ได้แก่
- อำเภอพัฒนานิคม : ตำบลโคกสลุง ตำบลน้ำสุด ตำบลมะนาวหวาน ตำบล หนองบัว
- อำเภอท่าหลวง    : ตำบลท่าหลวง ตำบลแก่งผักกูด
- อำเภอชัยบาดาล  : ตำบลบัวชุม ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่ามะนาว ตำบล ท่าดินดำ ตำบลชัยบาดาล ตำบลมะกอกหวาน ตำบล ม่วงค่อม

จังหวัดสระบุรี พื้นที่ 8,642 ไร่ อยู่ในพื้นที่ 1 อำเภอ 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน ได้แก่

- อำเภอวังม่วง      : ตำบลวังม่วง ตำบลคำพราน

ทางด้านสิ่งปลูกสร้างสาธารณะ

          มีเส้นทางหลวงถูกน้ำท่วม 2 สาย รวมเป็นระยะทาง 8.335 กม. ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 205 ตอนอำเภอชัยบาดาล-อำเภอลำสนธิ (แยกทางหลวงหมายเลข 21-อำเภอชัยบาดาล) และทางหลวงหมายเลข 2256 ตอนอำเภอชัยบาดาล-อำเภอด่านขุนทด นอกจากนั้นยังมี เส้นทางรถไฟ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างสถานีแก่งเสือเต้น-สถานีสุรนารายณ์ ในเส้นทางสายแก่งคอย-บัวใหญ่ ระยะทางประมาณ 24.325 กม. ก็จะถูกน้ำท่วมเช่นกัน อีกทั้งมีสถานที่สำคัญอื่น ๆ ได้รับผลกระทบด้วย ได้แก่ โรงเรียนถูกน้ำท่วม 14 แห่ง วัด 24 แห่ง ส่วนราชการ 23 แห่ง และธุรกิจเอกชน 7 แห่ง

ทางด้านสิ่งแวดล้อม

          ส่งผลกระทบต่อแหล่งโบราณคดี 33 แหล่ง และวัฒนธรรมชุมชนไทยเบิ้ง รวมทั้งพื้นที่ป่าไม้ซึ่งมีไม้ที่ไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่ 53,382 ไร่ จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ส่วนราชการต่าง ๆ จำเป็นต้องเข้ามาร่วมวางแผน และกำหนดแนวทางในการดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริง ทั้งต้องประสานแผนงานทุกด้านให้สอดคล้องต้องกัน จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนป่าสัก ที่รวมกลุ่มไปจัดตั้งชุมชนใหม่ โดยจัดให้บริการสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้า ถนน น้ำประปา ตลอดจนได้สร้าง วัด โรงเรียน สถานีอนามัย สถานีตำรวจ ทดแทนของเดิมให้กับพื้นที่ชุมชนใหม่ พร้อมกับจัดการส่งเสริมพัฒนาอาชีพ ทั้งการเกษตร การประมง การปศุสัตว์ และอุตสาหกรรมในครัวเรือน อาทิ สอนการแปรรูปอาหารและถนอมอาหาร การทำดอกไม้จันทน์และดอกไม้ประดิษฐ์จากเปลือกข้าวโพด และการทอผ้าด้วยกี่กระตุก เป็นต้น นับเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง

ประโยชน์ของเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก

          1. เป็นแหล่งสำหรับอุปโภคบริโภคของชุมชนต่าง ๆ ในเขตจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี (ลำนารายณ์ พัฒนานิคม วังม่วง แก่งคอย และชุมชนขนาดย่อมใกล้เคียง)
          2. เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรในพื้นที่ชลประทานที่จะเกิดขึ้นใหม่ ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี 135,5000 ไร่ (แก่งคอย-บ้านหมอ 80,000 ไร่ ,พัฒนานิคม 35,500 ไร่ และพัฒนานิคม-แก่งคอย 20,000 ไร่)
          3. เป็นแหล่งน้ำเสริมสำหรับพื้นที่โครงการชลประทานเดิม ในทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง เนื้อที่ประมาณ 2,200,000 ไร่ (ทำให้ลดการใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยานำน้ำจากแม่น้ำป่าสักไปใช้ในแถบจังหวัดลพบุรีและสระบุรีโดยตรง)
          4. ช่วยป้องกันอุทกภัยให้พื้นที่ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรีและยังมีผลช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยารวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วย
          5. เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี
          6. อ่างเก็บน้ำที่เกิดขึ้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่
          7. ช่วยการคมนาคมทางน้ำในแม่น้ำป่าสักตอนล่าง และการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย
          8. เป็นแหล่งน้ำช่วยเสริมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
          9. เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
          10. ทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรีขยายตัวมากขึ้น


          เป็นที่น่าปลาบปลื้มที่พระองค์ทรงเป็นห่วงพสกนิกรชาวจังหวัดลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงถึงประโยชน์ที่ราษฎรของพระองค์จะได้รับจากโครงการนี้ ณ พื้นที่ซึ่งเคยปรากฏความแห้งแล้ง สลับภาวะน้ำท่วม อันส่งผลให้ประชาชนต้องมีชีวิตอยู่อย่างลำบากทุกข์ยาก บัดนี้ ได้มีเขื่อนดินขนาดใหญ่ซึ่งมีความสูงกว่า 31 ม. และยาวเกือบ 5,000 ม. มาตั้งเป็นแนวกั้นน้ำอยู่ในแม่น้ำป่าสัก พร้อมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่มีความจุน้ำได้สูงสุดถึง 960 ล้าน ลบ.ม. เพื่อนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่ที่เคยประสบความแห้งแล้ง โดยมีอาคารพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก เป็นสถานที่จัดแสดงสภาพชีวิตผู้คนในอดีต ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักแห่งนี้ สำหรับให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาร่องรอยแห่งอารยธรรม ไว้เตือนจำและเตือนใจคนในรุ่นปัจจุบัน และในอนาคตมิให้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป


diksp3