ตราประจำจังหวัด
กำแพงและเขิงเทิน คือ รูปของค่ายบางระจันซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอค่ายบางระจันเป็นอนุสรณ์แห่งวีรกรรม และความเสียสละแห่งชาวเมือง ที่รวบรวมชายฉกรรจ์ตั้งค่ายต่อสู้ต้านทานทัพพม่า
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
สิงห์บุรี ถิ่นวีรชนคนกล้าในอดีตเป็นที่รู้จักกันในฐานะเป็นถิ่น" ปลาแม่ลา น้ำยางบางเลา สาวบ้านแป้ง แตงบ้านไร่ "
ซึ่งปัจจุบันของดีเหล่านั้นก็คงอยู่ในคำขวัญใหม่ของจังหวัดที่ว่า
คำขวัญประจำจังหวัดสิงห์บุรี
ถิ่นวีรชนคนกล้า
คู่หล้าพระนอน
นามกระฉ่อนปลาแม่ลา
ย่านการค้าภาคกลาง
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงเมืองสิงห์ไว้ว่า " เมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองใหญ่และเก่ามากมีป้อมปราการ วัง วัดมหาธาตุและของสำคัญคือ พระนอนจักรสีห์ ใหญ่กว่าพระนอนองค์อื่นๆ ในเมืองไทยทำเป็นแบบพระนอนอินเดียเหมือน เช่น ที่ถ้ำเมืองยะลา เมืองสิงห์บุรีเรียกชื่อต่างๆ ดังนี้ เมืองสิงหราช เมืองสิงหราชาเป็นเมืองตั้งอยู่ริมน้ำจักรสีห์ อันเป็นลำน้ำใหญ่ ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยา 200 เส้น เพราะแม่น้ำจักรสีห์ตื้นเขิน เมืองสิงห์จึงกลายเป็นเมืองลี้ลับ "
ด้วยเหตุนี้ เมืองสิงห์บุรี จึงมีการโยกย้ายเมืองไปตามสภาพลำน้ำสำคัญหลายแห่ง คือ ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ ทางแม่น้ำจักรสีห์ บริเวณใกล้หน้าวัดพระธาตุ ต่อมาย้ายเมืองไปตั้งทางแควแม่น้ำน้อย ที่ ต.โพสังโฆ อ.บางระจันใต้วัดสิงห์ลงมา ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 ก็ย้ายมาตั้งทางต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า ปากน้ำโพ ต.บางมัญและครั้งหลังสุดได้ย้ายไปตั้งที่ ต.บางพุทธา อ.สิงห์บุรีในปัจจุบัน และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าเมืองอินทร์บุรี เมือง พรหมบุรี และเมืองสิงห์บุรี มีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเริ่มสร้างกรุงศรีอยุธยาเสน่ห์ของเมืองสิงห์บุรีอีกอย่างคือ การตั้งชื่อถนนหนทางในเมือง เป็นชื่อวีรชนบ้านบางระจัน ทั้งสิ้นเช่น ถนนนายแท่น ถนนนายอิน ถนนนายเมืองถนนขุนสรรค์ เป็นต้น นอกจากนี้ สิงห์บุรีเป็นเมืองที่มีวัดมากมายทั้งเก่าและใหม่ต่างยุคต่างสมัยกัน
ต้นไม้ประจำจังหวัดสิงห์บุรี
มะกล่ำต้น RED Sandalwood Tree ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Adenanthera pavonina Linn.
ชื่ออื่น มกล่ำตาช้าง มะแค้ก หมวกแค้ก มะแดง มะหัวแดง มะโหกแดง
ลักษณะไม้ยืนต้นสุง 5-20 เมตร ใบ ประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับ ใบย่อยรูปวงรี รูปไข่หรือรูปขอบขนานกว้าง 1-3.5ซ.ม ยาว 2-5.5 ซม. ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ รูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลเป็นฝัก เมล็ดรูปค่อนข้างกลม สีแดง
ตำรายาไทยใช้ใบต้มกินแก้ดรคปวดข้อ บำรุงธาตุ แก้ท้องร่วงและบิด รากขับเสมหะ เมล็ดพอกดับพิษ รักษาแผลหนองฝี
แผนที่จังหวัดสิงห์บุรี
ประวัติศาสตร์เมืองสิงห์บุรี
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงเมืองสิงห์ถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ไว้ใน " สาสน์สมเด็จ " ว่า " ...เมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองใหญ่และเก่าแก่มากมีป้อมปราการ วัง วัดมหาธาตุ และของสำคัญ คือ พระนอนจักรสีห์ ใหญ่ยาวกว่าพระนอนองค์อื่นๆ ในเมืองไทย..." ก็แสดงว่า สิงห์บุรี เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ มีอดีตยาวนานจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณมาเป็นเวลานานหลายยุคหลายสมัย ดังนี้
ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์
พบร่องรอยหลักฐานมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี บ้านบางวัว ตำบลไม้ดัด อำเภอบางระจัน บ้านคู ตำบลพักทัน อำเภอบางระจัน สิ่งที่พบ คือ ขวานหิน แวดินเผา หินดุ ชิ้นส่วนกำไลสำริด
ยุคทวารวดี
พบหลักฐานที่เมืองคูเมือง ตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี เป็นการตั้งถิ่นฐานแบบ " เมืองคูคลอง " มีแผนผังเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีคูล้อมรอบ โบราณวัตถุที่ค้นพบ เช่น ภาชนะดินเผา ลูกปัด แท่นหินบด แวดินเผา ฯลฯ ส่วนหนึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ปัจจุบันเมืองโบราณบ้านคูเมืองเป็นสวนรุกชาติและเป็นที่ตั้งศูนย์หน่วยอนุรักษ์พันธุ์ไม้จังหวัดสิงห์บุรี
เมืองวัดพระนอนจักรสีห์ ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง รูปแบบเมืองเป็นเมืองซ้อน มีเมืองชั้นในรูปค่อนข้างกลมและเมืองชั้นนอกล้อม รูปสี่เหลี่ยม มุมไมปรากฏร่องรอยกำแพงเมือง ( ที่ทำด้วยดินพูนสูง ) แต่คูเมืองบางด้านยังปรากฏให้เห็น สิ่งที่ค้นพบคือ ลูกปัด แวดินเผา เศษภาชนะ ฯลฯ
แหล่งโบราณคดีบ้านคีม ตำบลสระแจง อำเภอบางระจัน มีสภาพเป็นเนินดินรูปรีร กว้าง 200 เมตร ยาว 500 เมตร มีคูน้ำขนาด กว้าง 5 เมตร
ยุคสมัยสุโขทัย
มีการค้นพบเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยตามวัดร้างแลลำน้ำเจ้าพระยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่า ชุมชนต่างๆ นั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร เพราะในช่วงที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองนั้น ได้มีอำนาจอิทธิพลแผ่ขยายครอบงำในบริเวณภาคกลางและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ยุคสมัยอยุธยา
ปรากฏเหตุการณ์ที่สำคัญ คือ สมัยสมเด็จพระมหารามาธิบดีที่ 1 ( พระเจ้าอู่ทอง ) ได้ตั้งเมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองลูกหลวง เมืองอินทร์เมืองพรหมบุรี เป็นเมืองหลานหลวง นอกจากนี้แล้วเมืองทั้งสามยังเป็นหัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นในหน้าด่านรายทางด้านทิศเหนืออีกด้วย โดยมีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่านหลักแสดงให้เห็นว่า เมืองสิงห์บุรี เมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรีมีอยู่แล้วเมื่อตั้งกรุงศรีอยุธยา
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้จัดการปกครองใหม่ โดยกำหนดให้หัวเมืองชั้นในเป็นเมืองจัตวา ดังนั้น เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรีและเมืองสิงห์บุรี จึงเปลี่ยนเป็นเมืองจัตวา
ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อปี พ.ศ. 2086 เมืองสิงห์ เป็นเมืองที่สมเด็จพระมหาธรรมราชา ให้ทหารไปสืบข่าวเรื่องศึกสงครามกับพม่า ขณะเดียวกันก็ได้ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองอินทร์บุรี เพื่อหยั่งเชิงดูข้าศึกอีกด้วยดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ในปี พ.ศ. 2110 หลังจากสมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิศรภาพ พม่าก็ได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง ครั้งนี้พม่ายกกองทัพมาสองทาง คือ ทางเหนือมีพระเจ้าเชียงใหม่ และทางตะวันตกมีพระยาพสิมเป็นแม่ทัพแต่ทัพของ พระยาพสิมถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกไปก่อน โดยที่พระเจ้าเชียงใหม่ยังไม่ทราบ เมื่อกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกมาชัยนาท ก็ให้แต่งทัพหน้ามาตั้งที่บางพุทรา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายหลังคือตัวจังหวัดสิงห์บุรี
ปี พ.ศ. 2308 สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ในขณะที่พม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกันต่อสู้กับพม่าที่บ้านบางระจัน เมืองสิงห์บุรี ซึ่งมีผู้นำสำคัญของชาวบ้านและปรากฏชื่อ คือ
- พระอาจารย์ธรรมโชติ
- นายแทน
- นายโชติ
- นายอิน
- นายเมือง
- นายทองแก้ว
- นายดอก
- นายจันหนวดเขี้ยว
- นายทองแสงใหญ่
โดยชาวบ้านบางระจันได้ต่อสู้กับพม่าและสามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้ถึง 7 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 ชาวบ้านชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้ ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าทั้งสิ้น 5 เดือน คือ ตั้งแต่เดือน 4 ปีระกา พ.ศ. 2308 ถึงเดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309
ยุคสมัยกรุงธนบุรี
เมืองอินทร์ เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี ขึ้นกับกรุงธนบุรี ในประชุมพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงสำเนาท้องตรา พ.ศ. 2316 เกณฑ์ผู้รักษาเมืองสิงห์ เมืองพรหมบุรี เมืองอินทร์บุรี ยกทัพไปสกัดข้าศึกด้านตะวันออกและคุมพรรคพวกสุ่มกำลังยกลงไป ขุดคูเลนพระนครเมืองธนบุรี
ยุคสมัยรัตนโกสินทร์
มีหลักฐานที่ปรากฏคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้เมืองอินทร์บุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองพรหมบุรี อยู่ในอำนาจปกครองของสมุหนายก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้จัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองสิงห์บุรีเมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เป็นเมืองอยู่ในมณฑลกรุงเก่า ( รัชกาลที่ 6 เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา ) และปี พ.ศ. 2439 ยุบเมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี เป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสิงห์บุรี พร้อมกับตั้งเมืองสิงห์บุรีขึ้นใหม่ที่ตำบลบางพุทรา ส่วนเมืองสิงห์บุรีเดิมยุบเป็นอำเภอสิงห์และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางระจัน
ปี พ.ศ. 2444 อำเภอเมืองสิงห์บุรีเปลี่ยนเป็นอำเภอบางพุทรา และในปี พ.ศ. 2481 ทางราชการสั่งให้เปลี่ยนชื่อที่ว่าการอำเภอที่ตั้งอยู่ในเมืองให้เป็นชื่อจังหวัดนั้น ๆ อำเภอบางพุทรา จึงได้กลับไปเป็นชื่ออำเภอเมืองสิงห์บุรีมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมืองสิงห์บุรี ยังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารต่าง ๆ ที่กล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัติรย์ไทยในอดีตหลายพระองค์ เช่น
ในปี พ.ศ. 2297 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวบรมโกศ ได้เสด็จมานมัสการพระพุทธไสยาสน์ วัดพระนอนจักรสีห์และในปี พ.ศ. 2299ไ ด้เสด็จมาทำการฉลองวัด 3 วัน 3 คืน ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
ในปี พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ยกทัพไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อวันศุกร์ เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ ได้เสด็จทางชลมารคถึงเมืองอินทร์บุรี
ในบันทึกของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณโรรส คราวเสด็จตรวจการคณะสงฆ์ ระหว่าง พ.ศ. 2454 - 2460 กล่าวตอนหนึ่งว่า ชาวบ้านในแถบวัดพระนอนจักรสีห์จำความได้ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จฯ มานมัสการพระพุทธไสยาสน์ครั้งหนึ่ง
วันอาทิตย์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 พ.ศ. 2421 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสมณฑลอยุธยา ทรงนมัสการพระพุทธไสยาสน์และโปรดให้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่
พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ ขากลับได้เสด็จนมัสการพระพุทธไสยาสน์ ดังพระราชหัตเลขาที่ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เมื่อ วันที่ 4 พฤศจิกายน ร.ศ. 120 ( พ.ศ. 2444)
วันที่ 7 เช้า 2 โมง พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง เสด็จทางเรือจากเมืองอ่างทองมาอำเภอพรหมบุรี และทรงประทับแรมหน้าเมืองสิงห์บุรีคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเสด็จประพาสอำเภออินทร์บุรีก่อนเสด็จต่อไปชัยนาท
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2459 เวลา 5 โมงเช้า ได้เสด็จประพาสมณฑลนครสวรรค์ทางชลมารค โดยเสด็จในพื้นที่อำเภอพรหมบุรี อำเภอเมือง อำเภอบางระจันและอำเภอสิงห์บุรี โดยมี พระยาโบราณราชนินทร์ (พร เดชะคุปย์) ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองที่เสด็จประพาส
สภาพทั่วไปของจังหวัดสิงห์บุรี
สภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ตั้งและอาณาเขต
สิงห์บุรี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 142 กม. ตัวเมืองตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม คล้ายลูกคลื่นลอนตื่น มีลำน้ำสามสายไหล่ผ่านคือแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และแม่น้ำลพบุรี จึงได้รับการขนานนามว่า " เมืองแห่งลุ่มน้ำสามสาย " มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท และอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอบ้านหมี่ และอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอไชโย อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท และอำเภอเดิมนางบวช จังหวัด สุพรรณบุรี
จังหวัดสิงห์บุรี มีเนื้อที่ประมาณ 84,140 กิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองสิงห์บุรี อำเภอบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน อำเภออินทร์บุรี อำเภอพรหมบุรี และอำเภอท่าช้าง
ภูมิประเทศ
จังหวัดสิงห์บุรีตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทยในในเขตอิทธิพลของแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 814 ตร.กม. ลักษณะเป็นที่ลุ่มลาดเทจากทางเหนือลงสู่ทางใต้ ตามทิศทางการไหลของแม่น้ำสายใหญ่ๆที่ไหลผ่านพื้นที่ในระดับความสุงระหว่าง 2.00-19.00 เมตร เหนือระดับทะเลปานกลางโดยบริเวณตอนกลางของจังหวัดอยู่ในระดับตวามสูงตั้งแต่ 6.00-1.00 เมตร มีแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำลพบุรีไหลผ่านทางซีกตะวันออก
พื้นที่ทางตอนเหนือในเขตอำเภออินทร์บุรี ด้านที่ติดต่อกับจังหวัดลพบุรีและจังหวัดนครสวรรค์เป็นที่สูงประมาณ 10.00-19.00 เมตรเหนือระดับทะเลปานกลางและมีแม่น้ำน้อยไหลผ่าน ในขณะที่ทางตอนใต้เขตอำเภอค่ายบางระจัน อำเภอ พรหมบุรีและอำเภอท่าช้างอยู่ในระดับทะเลปานกลาง และมีแม่น้ำน้อยไหลผ่านเช่นกัน และมีแม่น้ำสำคัญไหลผ่าน 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านตั้งแต่อำเภออินทร์บุรี และอำเภอพรหมบุรี แม่น้ำลพบุรีแยกสาขาออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบางพุทรา อำเภอเมือง ไหลผ่านไปยังจังหวัดลพบุรี และแม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่งคือ แม่น้ำน้อย
ภูมิอากาศ
สภาพอากาศโดยทั่วไปของจังหวัดสิงห์บุรีคล้ายกับจังหวัดภาคกลางอื่นๆที่ใกล้กรุงเทพฯ คือเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน อากาศอบอ้าว ร้อนและแล้งมาก ฝนจะเริ่มตกราวๆเดือนพฤษภาคม และตกเรื่อยไปจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นผลมาจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ส่วนในเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมกราคมนั้นเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 28.10 ถึง36.30 องศาเซลเซียส โดยในเดือนเมษายนมีอุณหภูมิสูงสุด
ประชากร
ประชากร ประชากร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 รวมทั้งสิ้น 223,677 คน เป็นชาย 108,054 คน หญิง 115,623 คน สำหรับอำเภอที่มีประชากรมากที่สุด ได้แก่ อำเภออินทร์บุรี มีจำนวน 60,599 คน รองลงมาได้แก่อำเภอบางระจันมีจำนวน 36,295 คน และเมืองสิงห์บุรีมีจำนวน 35,085 คน สำหรับอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ อำเภอท่าช้าง 462.57 คน/ตร.กม. รองลงมาได้แก่ อำเภอค่ายบางระจัน 327.15 คน/ตร.กม. และอำเภอพรหมบุรี 311.51 คน/ตร.กม.
เขตการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 6 อำเภอ 43 ตำบล 363 หมู่บ้าน 7 เทศบาล 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ38 องค์การบริหาร ส่วนตำบล (อบต.) ดังนี้
อำเภอ |
ตำบล |
หมู่บ้าน | เทศบาล | อบต |
เมืองสิงห์บุรี |
8 |
57 |
1 |
7 |
อินทร์บุรี |
10 |
105 |
1 |
10 |
บางระจัน |
8 |
77 |
1 |
8 |
ค่ายบางระจัน |
6 |
59 |
1 |
6 |
พรหมบุรี |
7 |
42 |
2 |
5 |
ท่าช้าง |
4 |
22 |
1 |
2 |
รวม |
43 |
363 |
7 |
38 |