พิพิธภัณฑ์ : แหล่งความรู้พิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์คืออะไร "พิพิธภัณฑ์" แปลรวมได้ความว่า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ นานาที่เก็บรวบรวมไว้เพื่อการชื่นชมและศึกษาหาความรู้ เช่นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุเป็นต้น "สถาน" หมายถึง สถานที่แหล่งที่ตั้งปราการ เป็นคำเติมท้ายสถานที่สำคัญ สำหรับคำว่า "พิพิธภัณฑ์" ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า "Museum"
พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ในรัชกาลที่ 4 ทรงสนพระทัยวิชาประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ครั้นเมื่อทรงผนวช เป็นสมณเพศ ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นเหตุให้ทรงทอดพระเนตรโบราณวัตถุสถานแบบสมัยต่างๆ และทรงศึกษาหาความรู้มากขึ้น ทั้งยังทรงห่วงใยมรดกทางศิลปอันล้ำค่ากลัวจะสูญหายไป จึงทรงเก็บรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆ เข้ามาไว้ที่กรุงเทพฯ เช่นศิลาจารึกสุโขทัย พระแท่นมนังคศิลา และอื่นๆ อีกมาก
ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติจึงเป็นโอกาสให้พระองค์สามารถดำเนินงานจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ "พระที่นั่งราชฤดี" เป็นตัวตึกแบบฝรั่ง มีพื้นที่ใช้สอยสำหรับเป็นที่ประทับว่าราชการ เมื่อเวลาว่างออกขุนนาง พร้อมทั้งยังใช้เป็นที่ตั้งแสดงโบราณศิลปวัตถุ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเก็บรวบรวมไว้ตลอด จนสิ่งของที่นานาประเทศสั่งเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายเป็นราชไมตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์" มีขนาดใหญ่กว่าพระที่นั่งราชฤดี และโปรดเกล้าฯให้ย้ายสิ่งของทั้งหมด จากพระที่นั่งราชฤดีมาไว้ที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด
นอกจากการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์อธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมากถือได้ว่าพระองค์ เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย ทั้งยังทรงเป็นผู้บัญญัติคำ "พิพิธภัณฑ์" ขึ้นใช้
พิพิธภัณฑ์สถานสำหรับประชาชน
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานขึ้นที่ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2417 นิยมเรียกทับศัพท์กันว่า "หอมิวเซี่ยม" ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ และในทุกๆ ปี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดนิทรรศการพิเศษ (Special Exhibition) ทั้งยังเปิดโอกาสให้ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พระภิกษุ และราษฎร นำสิ่งของต่างๆ มาตั้งแสดงหากของชิ้นใดงดงามแปลกประหลาดเป็นที่พอพระราชหฤทัย ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรางวัลแก่เจ้าของ
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรเมืองโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว บางครั้งเมื่อทอดพระเนตรเห็นโบราณศิลปวัตถุที่มีค่าถูกปล่อยทิ้งเกรงจะชำรุดเสียหายจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำลงมาเก็บรักษาที่กรุงเทพฯ ส่วนเมืองต่างๆ ที่มีศิลปะโบราณวัตถุ ก็ให้นำสิ่งของเหล่านั้นมาเก็บไว้ที่ศาลากลาง ซึ่งเมื่อมีจำนวนมากขึ้นก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์
ครั้นถึง พ.ศ.2430 ทรงโปรดเกล้าฯให้ย้ายพิพิธภัณฑสถานจากศาลาหัยสมาคมไปตั้งที่พระที่นั่งตอนหน้า 3 องค์ (พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ) กิจการพิพิธภัณฑ์ได้ขยายเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร และมีบทบาทเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนที่ไปมากขึ้น ต่อมวันที่ 4 ธันวาคมพ.ศ.2432 โปรดตั้งเป็นกรมพิพิธภัณฑ์สังกัดกรมศึกษาธิการ และโปรดให้กรมพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาอยู่ในสังกัดของกระทรวงธรรมการ และได้เปิดพิพิธภัณฑ์สถานให้ประชาชนได้ชมกัน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ครั้นถึง พ.ศ.2450 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าจัดตั้ง "โบราณคดีสโมสร" สำหรับสมาชิกที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ และวัฒนธรรม
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสนับสนุนกิจการพิพิธภัณฑสถาน และแต่งตั้งให้กรรมการหอสมุดสำหรับพระนครมีหน้าที่รับผิดชอบโบราณวัตถุสถานอีกอย่างหนึ่งเพราะงานหอพระสมุดที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเรื่องทาง โบราณคดีอยู่แล้ว จึงได้มี "ประกาศจัดการตรวจรักษาของโบราณ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2466" นับเป็นประกาศฉบับแรก ที่กล่าวถึงงานสงวนรักษาโบราณวัตถุสถานในพระราชอาณาจักรอันเป็นต้นแบบแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยโบราณวัตถุสถานและพิพิธภัณฑสถานสมัยต่อมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีพระราชบัญญัติโอนพิพิธภัณฑสถาน ให้อยู่ในความปกครองของหอพระสมุดสำหรับพระนคร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา "ราชบัณฑิตยสภา" ขึ้น เพื่อทำหน้าที่บำรุงกิจการทางวรรณคดี โบราณคดี และศิลปากร หอสมุดสำหรับพระนคร และพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จึงอยู่ในความรับผิดชอบของราชบัณฑิตยสภาด้วย
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2469 ได้ตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับโบราณวัตถุและศิลปะวัตถุประกาศออกมาใช้ ส่วนวันที่ 3 พฤษภาคม 2476 มีพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นใหม่ โปรดเกล้าฯ ให้โอนงานธุรการทั้งหมดจากราชบัณฑิตยสถานมาอยู่ในสังกัดพิพิธภัณฑสถาน สำหรับพระนครเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ในเวลาต่อมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ออกประกาศใช้ และนับตั้งแต่ พ.ศ.2504 เป็นต้นมากิจการพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย ได้พัฒนาขยายตัวออกไปมาก
การจัดแบ่งประเภทของพิพิธภัณฑ์
ปัจจุบันเกิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นมากมาย และมีเกือบทุกประเภท นักวิชาการบางท่านได้กำหนดประเภทของพิพิธภัณฑ์แบ่งกว้างๆ เพียง 2 ประเภทคือ
1. พิพิธภัณฑ์ประเภทวัฒนธรรม (Cultural Museum) คือ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องทางวัฒนธรรมของมนุษย์ทั้งหมด
2. พิพิธภัณฑ์ประเภทวิทยาศาสตร์ (Science Museum) คือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวข้องกับทางด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหมด หรือเกี่ยวข้องกับสาขาวิทยาศาสตร์
บทบาทของพิพิธภัณฑ์กับการศึกษา
การศึกษาเป็นการพัฒนาคนในทุกๆ ด้าน ไม่เฉพาะเพียงให้ความรู้เท่านั้น ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ได้อยู่เพียงที่นักเรียนแต่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมทุกแห่ง และพิพิธภัณฑสถานก็เป็นสถานที่ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่สามารถพัฒนาในเรื่องความคิด ความเข้าใจ คุณค่า ทัศนคติได้อย่างกว้างขวาง
พิพิธภัณฑสถานเป็นสถานที่จัดแสดงวัตถุในแขนงวิชาต่างๆ และปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการทางสังคม
วัตถุประสงค์ของการศึกษาในพิพิธภัณฑสถาน คือ ให้ความรู้โดยอาศัยหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ความคิดความอยากรู้อยากเห็น สร้างแรงจูงใจสร้างความประทับใจให้เห็นคุณค่า สร้างทัศนคติที่ดีและถูกต้องแก่ผู้ชม
ความสำคัญของพิพิธภัณฑ์กับการเรียนรู้ของนักเรียน
การศึกษาในพิพิธภัณฑ์มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดใช้เหตุผล สร้างทัศนคติที่ดี และสร้างความรู้สึกเร้าความสนใจในวิทยาการแขนงต่างๆ ให้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริง ฝึกทักษะในการศึกษาค้นคว้า มีความคิดพิจารณารอบคอบกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ สร้างนิสัยให้ตื่นตัวในการศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา