สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
แหล่งท่องเที่ยวเชิงปะวัติศาสตร์ คือแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศาสนา รวมถึงสถานที่หรืออาคารสิ่งก่อสร้างที่มีอายุเก่าแก่หรือเคยมีเหตุการณ์ สำคัญเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่นโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ชุมชนโบราณ กำแพงเมือง คูเมือง พิพิธภัณฑ์ วัด ศาสนสถาน และสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ คือสิ่งบ่งบอกความเป็นมาในอดีตและพัฒนาการแห่งอารยธรรมของสังคม ที่สะท้อนผ่านร่องรอยในโบราณสถานและโบราณวัตถุการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เป็นการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังเเหล่งท่องเที่ยวเพื่อศึกษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เเละสังคม รวมถึงสถานที่ที่มีความผูกพันทางจิตใจของชนรุ่นหลังเพื่อชื่นชมเเละเรียนรู้ประวัติศาสตร์เเละโบราณสถานในเเหล่งท่องเที่ยวนั้น สำหรับลพบุรีมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ พระนารายณ์ราชนิเวศน์, พระที่นั่งไกรสรสีหราช(พระที่นั่งเย็น) ,บ้านหลวงรับราชทูต หรือบ้านวิชาเยนทร์, วันสันเปาโล, วัดพระศรีมหาธาตุ, วัดนครโกษา, และเพนียดคล้องช้าง ฯลฯ มีดังนี้
พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้สร้างขึ้น ณ เมืองลพบุรี เมื่อประมาณ พ.ศ.2208-2209 มีข้อสันนิษฐานที่สำคัญ คือ ใน พ.ศ. 2207 เกิดกรณีพิพาทระหว่างฮอลันดากับไทย ฮอลันดาได้นำเรือมาปิดปากอ่าวไทยและบังคับให้ไทยทำสนธิสัญญาเสียเปรียบทางการค้าและเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำใหญ่ ไม่ห่างจากทะเล และด้วยเหตุผลทางการเมืองภายในประเทศ พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังที่เมืองลพบุรี ใช้เป็นราชธานีที่สอง ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ไกลจากแม่น้ำใหญ่ มีป่า ภูเขา สัตว์ป่าชุกชุมทำให้ต้องอัธยาศัยในการเสด็จเข้าป่าล่าสัตว์ล้อมจับช้างในบริเวณป่าใกล้เมืองลพบุรี พระองค์จึงรู้สึกปลอดภัยเมื่อประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี
พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์มีพื้นที่ประมาณ 43 ไร่ ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมตะวันตก สมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดประทับ ณ เมืองลพบุรีเกือบตลอดปี เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น จึงเสด็จไปประทับอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา เมืองลพบุรีจึงเป็นศูนย์กลางความเจริญตลอดรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2231 พระราชวังถูกทิ้งร้างจนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรด ฯ ให้ซ่อมแซมพระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ.2399 โปรดให้สร้างพระที่นั่งเพิ่มขึ้น และพระราชทานชื่อพระราชวังนี้ว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์"
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติในปีพุทธศักราช 2199 ทรงสถาปนาเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ทำให้เมืองลพบุรีมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากและทรงประทับอยู่เมืองลพบุรีจนสิ้นรัชกาลในพุทธศักราช 2231 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหากษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าให้ปฏิสังขรณ์วัดและโบราณสถานสำคัญของเมืองลพบุรีให้มีสภาพสมบูรณ์ และบูรณะฟื้นฟูพระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมพระราชทานนามว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์”
จังหวัดลพบุรีได้มีแนวคิดในการเทิดพระเกียรติ และน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมทั้งการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนจังหวัดลพบุรีเกิดความรักหวงแหนในโบราณสถานและร่วมกันอนุรักษ์ให้เป็นสมบัติของชาติ พร้อมใจกันจัดงานขึ้นโดยตั้งชื่องานว่า “นารายณ์รำลึก” ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ “งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์” กำหนดการจัดงานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนพระราชสมภพของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ บริเวณพระนารายณ์ราชนิเวศ มีการจัดงานครั้งแรก ระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 และได้มีการจัดงานมาอย่างต่อเนื่อง
การจัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีวัตถุประสงค์ดังนี้
1. เพื่อการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2. เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟูและสืบสานศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น
3. ส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์
4. ส่งเสริมการท่องเที่ยวกระต้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดลพบุรี
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
โบราณสถาน หมายถึง อาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น มีความเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาที่เป็นประโยชนทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือ โบราณคดี และยังรวมถึงสถานที่หรือเนินดินที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือมีร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ปรากฏอยู่ นอกจากนี้ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน "โบราณสถาน" หมายถึง สิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น โบสถ์ วิหาร วัง มีอายุเก่ากว่า 100 ปีขึ้นไป
โบราณสถานมีความสำคัญดังนี้ ..ด้านเอกลักษณ์ แสดงการรับรู้หรือความเข้าใจถึงที่มา สถานที่ตั้ง ชนชาติ ความเชื่อ ศาสนา ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง
..ด้านวิชาการ เพื่อสะท้อนเรื่องราวในอดีต เป็นข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ซึ่งเป็นเครื่องแสดงประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ของชุมชนของชาติ รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิต
..ด้านเศรษฐกิจ เป็นแหล่งรายได้ให้ชุมชนและประเทศ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สร้างกิจกรรมต่าง ๆ อันสืบเนื่องจากการท่องเที่ยว พร้อมกับการศึกษาหาความรู้
สถาปัตยกรรม เป็นกระบวนการและผลผลิตของการวางแผน การออกแบบ และการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างผลผลิตทางสถาปัตยกรรมในรูปของอาคาร มักได้รับการถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและงานศิลปะ อารยธรรมเก่าแก่มักถูกเรียกตามสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลืออยู่ของอารยธรรมนั้น
โบราณสถานและสถาปัตยกรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสำคัญหลายแห่ง ได้แก่
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีความสำคัญและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมแสดงถึงความรุ่งเรืองสูงสุดสมัยหนึ่งของเมืองลพบุรี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พื้นที่ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 3 เขต คือ เขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน มีพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างดังนี้
1. เขตพระราชฐานชั้นนอก มีสิ่งก่อสร้าง 5 หลังคือ อ่างเก็บน้ำประปา, สิบสองท้องพระคลัง, ตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง, ตึกพระเจ้าเหา, โรงช้างหลวง
2. เขตพระราชฐานชั้นกลาง มีสิ่งก่อสร้าง 2 หลังคือ พระที่นั่งจันทรพิศาล, พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
3. เขตพระราชฐานชั้นใน มีสิ่งก่อสร้าง 1 หลังคือ พระที่นั่งสุธาสวรรค์
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
อาหาร และวัฒนธรรมการกิน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาคนไทยกินอาหารเรียบง่าย รู้จักการถนอมอาหารทำปลาเค็ม เครื่องจิ้ม กะปิ นิยมกินสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บกเพราะมีแม่น้ำล้อมรอบ และเริ่มมีการติดต่อกับต่างประเทศ ในสมัยอยุธยาตอนปลายได้รับอิทธิพลของอาหารจีนมากขึ้น รวมทั้งอาหารโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เริ่มมีความแตกต่างระหว่างอาหารราชสำนักกับอาหารชาวบ้าน ราชสำนักเริ่มมีการติดต่อกับเขมร จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายเทระหว่างอาหารไทยและเขมร
“กับข้าว” ของชาวไทยนั้นมีน้ำพริกผักจิ้ม เรากินผักสด ผักต้ม ผักย่างคู่กับน้ำพริก คู่กับปลาย่าง ปลานึ่ง ปลาแห้ง ปลาเค็ม แกงก็เป็นแกงง่ายๆ ใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นและที่หาได้ตามฤดูกาล ชาวไทยในอดีตนั้นกินง่าย และกินน้อยดังที่ นิโคลัส แชร์แวส (Nicolas Gervaise) ชาวฝรั่งเศสที่ได้ติดตามคณะของหมอสอนศาสนาเข้ามายังราชอาณาจักรสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เขาได้เขียนบันทึกไว้ในหนังสือชื่อ “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม” (Histoire naturele et politique du Royaume de Siam) ตีพิมพ์เมื่อปี 1688 (พ.ศ. 2231) ในบันทึกนั้นกล่าวว่า
“…ไม่มีชนชาติใดที่จะบริโภคอาหารอดออมเท่าคนสยาม สามัญชนดื่มแต่น้ำเท่านั้น แล้วก็กินข้าวหุง ผลไม้ ปลาแห้งบ้างเล็กน้อย แล้วยังกินไม่ค่อยอิ่มท้องเสียด้วย ชนชั้นสูงก็ไม่ได้บริโภคดีไปกว่านี้ ทั้งๆ ที่สามารถจะซื้อหามาบริโภคได้ตามปรารถนา…”
สมุนไพร และยารักษาโรค
การแพทย์แผนโบราณถือว่าพืชทุกอย่างมีสรรพคุณเป็นยาทั้งนั้น พืชที่หมอไทยแผนโบราณนำมาใช้ทำยานี้ มักจะเรียกรวมๆ ว่า "เครื่องสมุนไพร" อาจจะใช้ส่วนใดหรือทุกส่วน นับแต่ราก เปลือก แก่น ใบ ดอก ผล และยาง ทั้งที่เป็นพืชในเมืองไทยและพืชที่มาจากต่างประเทศ
ลาลูแบร์ อัครราชฑูตฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2271 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงสภาพของหมอไทย สมัยนั้นว่าไม่พยายามที่จะศึกษาสรรพคุณของตัวยาแต่ละชนิด นอกจากจะถือเอาตามตำรา ที่ปู่ย่าตายายสั่งสอนกันต่อๆ มาเท่านั้น และกล่าวด้วยว่า หมอในเมืองไทยขณะนั้น เหมือนหมอบ้านนอกของฝรั่งเศส คือ เป็นทั้งหมอและเป็นเภสัชกรไปด้วย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้มีการจดบันทึกตำรับยาที่ใช้ดูแลสุขภาพ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นตำราการแพทย์แผนไทยและตำรับเภสัชกรรมไทยฉบับแรกของประเทศไทย คือ “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” หรือ “ตำราธาตุพระนารายณ์” คาดว่าเป็นตำราด้านการแพทย์ที่ดีที่สุด ในสมัยนั้นเนื่องจากเป็นตำรับยาที่ปรุงถวายพระมหากษัตริย์ เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพชนที่สะสมองค์ความรู้ มาพัฒนาและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นต่อกัน .....
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ภาษา การศึกษา วรรณกรรม เป็นยุคทองของวรรณกรรมกรุงศรีอยุธยารุ่งโรจน์มากที่สุดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยนั้นกรุงศรีอยุธยาว่างศึก มีการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการต่างๆ ทุกด้าน มีการริเริ่มหลายสิ่งหลายอย่าง ในวงวรรณกรรมมีการแต่งแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก และการบันทึกพงศาวดารเล่มแรก สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกวี ราชสำนักของพระองค์จึงมีกวีหลายคน พระสนมของพระองค์สามารถแต่งโคลงได้ และแม้นแต่นายประตู ก็พูดเป็นโคลงโต้ตอบได้ วรรณกรรมที่เชื่อกันว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และมีส่วนที่สำคัญพระราชนิพนธ์ต่อจากพระมหาราชครูคือ “สมุทรโฆษคําฉันท์” นอกจากนั้นยังมีพระราชนิพนธ์ต่างๆ ได้แก่ โคลงทศรถสอนพระราม โคลงพาลีสอนน้อง โคลงราชสวัสดิ์ วิรุธรบัณฑิตสอนบุตร เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา และโคลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ
ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชการศึกษาเจริญมาก มีการสอนทั้งภาษาไทย บาลี สันสกฤต ฝรั่งเศส เขมร พม่า มอญ และจีน ปรากฏตามพงศาวดารว่า พระตรัสน้อย โอรสองค์หนึ่งของพระเพทราชา ได้ทรงศึกษาภาษาต่างๆ จนชำนาญทั้งภาษาบาลี สันสกฤต ฝรั่ง เขมร ลาว ญวน พม่า รามัญ และจีน ทั้งยังทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ และแพทยศาสตร์จากอาจารย์ต่างๆ เป็นอันมาก เข้าใจว่าโดยเฉพาะ วิชาภาษาไทย คงจะได้วางมาตรฐานดีมาแต่ครั้งนั้น เพราะปรากฏว่าพระโหราธิบดี ได้แต่งแบบเรียนภาษาไทยชื่อ “จินดามณี” ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ใช้เป็นแบบเรียนสืบต่อมาเป็นเวลานาน สำนักเรียนนอกจากวัดในบางรัชกาลยังมีราชสำนัก สำนักราชบัณฑิตและโรงเรียนมิชชันนารีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การศึกษาในราชสำนักรุ่งโรจน์มาก
หนังสือจินดามณี
หนังสือสมุทรโฆษคำฉันท์
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
2023 © Thepsatri Rajabhat University