สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
อำเภอวังม่วง : น้ำตกตะพานหิน
น้ำตกตะพานหิน ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 บ้านตะพานหิน ตำบลคำพราน ระยะทาง 10 กม. จากที่ว่าการอำเภอวังม่วง เป็นลำน้ำตกใสสะอาด ธรรมชาติร่มรื่น
"แม่น้ำป่าสัก" เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่สุดสายหนึ่งของชาวจังหวัดลพบุรีและสระบุรี ประชาชนจะได้ประโยชน์จากแม่น้ำป่าสักอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรมหรือการประมง แต่ในช่วงเดือนสิงหาคม - เดือนตุลาคมของทุกปี จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี เช่น ตำบลมะนาวหวาน ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล และหมู่บ้านใกล้เคียงอีก รวมไปถึงจังหวัดสระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับในช่วงเดือนมกราคม - เดือนพฤษภาคม พื้นที่ในลุ่มน้ำป่าสักก็จะประสบภาวะแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภค บริโภค
ในปี 2508 กรมชลประทานได้เริ่มศึกษาโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ แม่น้ำป่าสัก แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงจึงได้ระงับโครงการฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายหลายด้าน แต่หลายครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรจังหวัดลพบุรีด้วยความห่วงใย และได้เสด็จไปทอดพระเนตรพื้นที่ในเขตอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีที่กำลังประสบปัญหาอยู่
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล และด้วยความห่วงใยในพสกนิกร ของประชาชน ด้วยพระอัจฉริยภาพที่ล้ำลึกและเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงแก้ปัญหาให้ "ความโหดร้าย" ของแม่น้ำป่าสักกลับกลายเป็น "ความสงบเสงี่ยม" ที่น่านิยม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหาทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2532 พระองค์ท่านได้มีพระราชดำริให้กรมชลประทานดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนน้ำ เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้น
วันที่ 1 กรกฎาคม 2535 กรมชลประทานได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ศึกษา ความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเขื่อนเก็บน้ำป่าสัก รวมทั้งแผนปฏิบัติการแก้ไข พัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นแกนกลางในการดำเนินงานสนับสนุนด้านงบประมาณ ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ว่า
...ปัญหาเรื่องภัยแล้งนี้จะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ และหมู่นี้ก็พูดกันอย่างขวัญเสียว่าอีกหน่อยต้องปันส่วนน้ำหรือต้องตัดน้ำประปา อันนี้สำหรับกรุงเทพฯ ดังนั้นต้องหาแนวทางแก้ไข ซึ่งปัญหานี้ต้องวางแผนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ถ้าหากว่าได้ปฏิบัติในวันนี้ เราก็ไม่ต้องพูดถึงการขาดแคลนน้ำ โครงการโดยเฉพาะนั้นก็มี และโครงการนั้นได้ยืนยันมาเมื่อเดือนกว่าแล้วที่นราธิวาส ได้วางโครงการและแม้เป็นโครงการที่ไม่ได้แก้ปีนี้ หรือปีหน้า แต่ถ้าทำอย่างดีประมาณ 5 หรือ 6 ปี ปัญหาน้ำขาดแคลนในกรุงเทพฯจะหมดไปโดยสิ้นเชิง อาจจะนึกว่า 5-6 ปี นั้นนาน ความจริงไม่นานและระหว่างนี้เราก็พยายามแก้ไขเฉพาะหน้าไปเรื่อย แต่ถ้ามีความหวังว่า 5-6 ปีปัญหานี้คงหมดไปก็คงมีกำลังใจที่จะฟันฟ่าชีวิตต่อไป
ที่ว่า 5-6 ปีนี้ ความจริงได้เริ่มโครงการนี้มากว่า 5-6 ปี โครงการที่คิดจะทำนี้บอกได้ ไม่กล้าพูดมาหลายปีแล้ว เพราะเดี๋ยวจะมีการคัดค้าน จากผู้เชี่ยวชาญจากผู้ที่ต่อต้านการทำโครงการแต่โครงการนี้เป็นโครงการที่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย แต่ถ้าดำเนินไปเดี๋ยวนี้อีก 5-6 ปี ข้างหน้าเราก็สบาย แต่ถ้าไม่ทำในอีก 5-6 ปี ข้างหน้าราคาค่าสร้าง ค่าดำเนินการก็จะขึ้นไป 2 เท่า 3 เท่า ลงท้ายก็จะต้องประวิงต่อไป และเมื่อประวิงต่อไปไม่ได้ทำ เราก็ต้องอดน้ำแน่ จะกลายเป็นทะเลทราย แล้วเราก็จะอพยพไปที่ไหนไม่ได้ โครงการนี้คือสร้างอ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง แห่งหนึ่งคือแม่น้ำป่าสัก อีกแห่งคือแม่น้ำนครนายก สองแห่งรวมกันจะเก็บกักน้ำเหมาะสมพอเพียงสำหรับการบริโภค การใช้ในเขตกรุงเทพฯ และเขตใกล้เคียงที่ราบลุ่มของประเทศไทยนี้ สำหรับการใช้น้ำนั้น ต้องทราบว่าแต่ละคนใช้อยู่อย่างสบายพอสมควร โดยเฉลี่ย คนหนึ่งใช้วันละ 200 ลิตรถ้าคำนวณดูว่า วันละ 200 ลิตรนี้ 5 คน ก็ใช้ 1,000 ลิตร คือ หนึ่งลูกบาศก์เมตรต่อวัน ถ้าปีหนึ่งคูณ 365 ก็หมายความว่า 5 คนใช้ในหนึ่งปี 365 ลูกบาศก์เมตรในกรุงเทพฯและในบริเวณใกล้เคียงนี้เรานับเอาคร่าว ๆ ว่ามี 10 ล้านคน 10 ล้านคนก็คูณเข้าไป ก็เป็น 730 ล้านลูกบาศก์เมตรฉะนั้นถ้าเราเก็บกัก 730 ล้านลูกบาศก์เมตร ในเขื่อน เราก็จะสามารถที่จะบริการคนในละแวกนี้ คนในภาคกลางใกล้กรุงเทพฯนี้ได้ตลอดไป แล้วก็ไม่มีความขาดแคลนเขื่อนป่าสักที่ตอนแรกวางแผนให้จุได้ 1,350 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่แก้ไปแก้มาก็เหลือ 750 ล้านกว่า ๆตามตัวเลขที่ให้ไว้นี้ แม้เขื่อนป่าสักเขื่อนเดียวก็พอ พอสำหรับการบริโภคแน่นอน ไม่แห้ง ถ้าเติมอีกโครงการที่นครนายก จะได้อีก 240 ล้านลูกบาศก์เมตร ก็เกินพอ...
การดำเนินงานของ "เขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก" มีได้ดังนี้
ที่ตั้งของโครงการฯ
ที่ตั้ง ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และตำบลคำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี เป็นเขื่อนดินชนิดมีแกนดินเหนียว ยาว 4,860 เมตร สูง 31.50 เมตร ระดับน้ำกักเก็บสูงสุด + 43.00 ม.รทก. เก็บน้ำได้ 960 ล้าน / ลบ.ม.
พื้นที่ของโครงการฯ
พื้นที่โครงการมี 105,300 ไร่ มีรายละเอียดดังนี้
- จังหวัดลพบุรี 96,658 ไร่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพัฒนานิคม อำเภอท่าหลวง อำเภอชัยบาดาล รวม 13 ตำบล 60 หมู่บ้าน
- จังหวัดสระบุรี 8,642 ไร่ 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอวังม่วง รวม 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน รวม 2 จังหวัด 4 อำเภอ 1 5 ตำบล 65 หมู่บ้าน
งบประมาณการดำเนินงาน
งบลงทุน
1) งานก่อสร้างด้านชลประทาน |
งบประมาณ
|
5,098.5173
|
ล้านบาท
|
1.1 เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ |
"
|
2,656.0000
|
ล้านบาท
|
1.2 ระบบชลประทาน |
"
|
1,267.5173
|
ล้านบาท
|
1.3 ก่อสร้างส่วนประกอบอื่น |
"
|
1,175.0000
|
ล้านบาท
|
2) งานแก้ไขและพัฒนาสิ่งแวดล้อม |
งบประมาณ
|
14,132.2750
|
ล้านบาท
|
2.1 แผนกการประชาสัมพันธ์ |
"
|
5,5690
|
ล้านบาท
|
2.2 แผนกการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สิน |
"
|
8,520.7900
|
ล้านบาท
|
2.3 แผนการจัดตั้งถิ่นฐานใหม่และการพัฒนาส่งเสริมอาชีพให้แก่ราษฎร |
"
|
3,284.0000
|
ล้านบาท
|
2.4 แผนของการป้องกันแก้ไขและพัฒนา |
"
|
2,224.0280
|
ล้านบาท
|
เส้นทางคมนาคม | |||
- รถไฟ |
"
|
2,169.0280
|
ล้านบาท
|
- ทางหลวง |
"
|
55.0000
|
ล้านบาท
|
2.5 แผนการแก้ไขและพัฒนาสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆ |
งบประมาณ
|
97.8880
|
ล้านบาท
|
2.5.1 แผนงานด้านโบราณคคี |
"
|
8.0000
|
ล้านบาท
|
2.5.2 แผนนำไม้ออกและแผ้วถางป่า |
"
|
36.6360
|
ล้านบาท
|
2.5.3 แผนการอพยพและอนุรักษ์สัตว์ป่า |
"
|
9.7520
|
ล้านบาท
|
2.5.4 แผนงานด้านทรัพยากรแร่ |
"
|
0.2000
|
ล้านบาท
|
2.5.5 แผนการควบคุมคุณภาพน้ำ |
"
|
14.2000
|
ล้านบาท
|
2.5.6 แผนการเตรียมการด้านสาธารณสุข |
"
|
19.5000
|
ล้านบาท
|
2.5.7 การติดตามและประเมินผล |
"
|
9.6000
|
ล้านบาท
|
รวมทั้งสิ้น |
19,230.7900
|
ล้านบาท
|
ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก
เนื่องจากเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก ก่อสร้าง ณ บริเวณทุ่งราบภาคกลาง จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน สิ่งปลูกสร้าง สาธารณะ และสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนมาก กล่าวโดยสรุปคือ ทางด้านประชาชน มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ 114,119 ไร่ แต่มีพื้นที่ของราษฎรได้รับผลกระทบอันเป็นเหตุให้ต้องมีการโยกย้าย 100,944 ไร่ ในเขต 2 จังหวัด 4 อำเภอ 15 ตำบล 65 หมู่บ้าน รวมประชาชนประมาณ 7,700 ครอบครัว และมีพื้นที่ที่จะต้องจ่ายค่าทดแทนที่ดิน 96,700 ไร่ โดยแยกเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
จังหวัดลพบุรี มีพื้นที่ 96,658 ไร่ อยู่ในพื้นที่ 3 อำเภอ 13 ตำบล 60 หมู่บ้าน ได้แก่
- อำเภอพัฒนานิคม : ตำบลโคกสลุง ตำบลน้ำสุด ตำบลมะนาวหวาน ตำบล หนองบัว
- อำเภอท่าหลวง : ตำบลท่าหลวง ตำบลแก่งผักกูด
- อำเภอชัยบาดาล : ตำบลบัวชุม ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่ามะนาว ตำบล ท่าดินดำ ตำบลชัยบาดาล ตำบลมะกอกหวาน ตำบล ม่วงค่อม
จังหวัดสระบุรี พื้นที่ 8,642 ไร่ อยู่ในพื้นที่ 1 อำเภอ 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน ได้แก่
- อำเภอวังม่วง : ตำบลวังม่วง ตำบลคำพราน
ทางด้านสิ่งปลูกสร้างสาธารณะ
มีเส้นทางหลวงถูกน้ำท่วม 2 สาย รวมเป็นระยะทาง 8.335 กม. ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 205 ตอนอำเภอชัยบาดาล-อำเภอลำสนธิ (แยกทางหลวงหมายเลข 21-อำเภอชัยบาดาล) และทางหลวงหมายเลข 2256 ตอนอำเภอชัยบาดาล-อำเภอด่านขุนทด นอกจากนั้นยังมี เส้นทางรถไฟ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างสถานีแก่งเสือเต้น-สถานีสุรนารายณ์ ในเส้นทางสายแก่งคอย-บัวใหญ่ ระยะทางประมาณ 24.325 กม. ก็จะถูกน้ำท่วมเช่นกัน อีกทั้งมีสถานที่สำคัญอื่น ๆ ได้รับผลกระทบด้วย ได้แก่ โรงเรียนถูกน้ำท่วม 14 แห่ง วัด 24 แห่ง ส่วนราชการ 23 แห่ง และธุรกิจเอกชน 7 แห่ง
ทางด้านสิ่งแวดล้อม
ส่งผลกระทบต่อแหล่งโบราณคดี 33 แหล่ง และวัฒนธรรมชุมชนไทยเบิ้ง รวมทั้งพื้นที่ป่าไม้ซึ่งมีไม้ที่ไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่ 53,382 ไร่ จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ส่วนราชการต่าง ๆ จำเป็นต้องเข้ามาร่วมวางแผน และกำหนดแนวทางในการดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริง ทั้งต้องประสานแผนงานทุกด้านให้สอดคล้องต้องกัน จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนป่าสัก ที่รวมกลุ่มไปจัดตั้งชุมชนใหม่ โดยจัดให้บริการสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้า ถนน น้ำประปา ตลอดจนได้สร้าง วัด โรงเรียน สถานีอนามัย สถานีตำรวจ ทดแทนของเดิมให้กับพื้นที่ชุมชนใหม่ พร้อมกับจัดการส่งเสริมพัฒนาอาชีพ ทั้งการเกษตร การประมง การปศุสัตว์ และอุตสาหกรรมในครัวเรือน อาทิ สอนการแปรรูปอาหารและถนอมอาหาร การทำดอกไม้จันทน์และดอกไม้ประดิษฐ์จากเปลือกข้าวโพด และการทอผ้าด้วยกี่กระตุก เป็นต้น นับเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
ประโยชน์ของเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก
1. เป็นแหล่งสำหรับอุปโภคบริโภคของชุมชนต่าง ๆ ในเขตจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี (ลำนารายณ์ พัฒนานิคม วังม่วง แก่งคอย และชุมชนขนาดย่อมใกล้เคียง)
2. เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรในพื้นที่ชลประทานที่จะเกิดขึ้นใหม่ ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี 135,5000 ไร่ (แก่งคอย-บ้านหมอ 80,000 ไร่ ,พัฒนานิคม 35,500 ไร่ และพัฒนานิคม-แก่งคอย 20,000 ไร่)
3. เป็นแหล่งน้ำเสริมสำหรับพื้นที่โครงการชลประทานเดิม ในทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง เนื้อที่ประมาณ 2,200,000 ไร่ (ทำให้ลดการใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยานำน้ำจากแม่น้ำป่าสักไปใช้ในแถบจังหวัดลพบุรีและสระบุรีโดยตรง)
4. ช่วยป้องกันอุทกภัยให้พื้นที่ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรีและยังมีผลช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยารวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วย
5. เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี
6. อ่างเก็บน้ำที่เกิดขึ้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่
7. ช่วยการคมนาคมทางน้ำในแม่น้ำป่าสักตอนล่าง และการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย
8. เป็นแหล่งน้ำช่วยเสริมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
9. เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
10. ทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรีขยายตัวมากขึ้น
เป็นที่น่าปลาบปลื้มที่พระองค์ทรงเป็นห่วงพสกนิกรชาวจังหวัดลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงถึงประโยชน์ที่ราษฎรของพระองค์จะได้รับจากโครงการนี้ ณ พื้นที่ซึ่งเคยปรากฏความแห้งแล้ง สลับภาวะน้ำท่วม อันส่งผลให้ประชาชนต้องมีชีวิตอยู่อย่างลำบากทุกข์ยาก บัดนี้ ได้มีเขื่อนดินขนาดใหญ่ซึ่งมีความสูงกว่า 31 ม. และยาวเกือบ 5,000 ม. มาตั้งเป็นแนวกั้นน้ำอยู่ในแม่น้ำป่าสัก พร้อมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่มีความจุน้ำได้สูงสุดถึง 960 ล้าน ลบ.ม. เพื่อนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่ที่เคยประสบความแห้งแล้ง โดยมีอาคารพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก เป็นสถานที่จัดแสดงสภาพชีวิตผู้คนในอดีต ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักแห่งนี้ สำหรับให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาร่องรอยแห่งอารยธรรม ไว้เตือนจำและเตือนใจคนในรุ่นปัจจุบัน และในอนาคตมิให้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป
ห้องรวบรวมพระราชประวัติรัชกาลที่ 8 โรงพยาบาลอานันทมหิดล
ห้องพระราชประวัติรัชกาลที่ 8 ตั้งอยู่ที่ห้องชั้นบนของตึกโรงพยาบาลอานันทมหิดล ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี
โรงพยาบาลอานันทมหิดลเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อพระราชทานตามพระราชทินนามของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 เป็นแหล่งกำเนิดของโรงเรียนนายทหารเสนารักษ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ทหารแห่งแรกของประเทศไทย และเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโรงพยาบาลสนาม และศูนย์รับทหารที่เจ็บป่วยจากแนวหน้าแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพบกในสงครามมหาเอเชียบูรพา และสงครามโลกครั้งที่ 2
ในสมัยของพลโทปัญญา อยู่ประเสริฐ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้จัดสร้างห้องรวบรวมพระราชประวัติรัชกาลที่ 8 ขึ้น ภายในห้องมีตู้เอกสารที่เกี่ยวกับพระราชประวัติ ตู้ธนบัตรและเหรียญเงินที่มีใช้ในรัชสมัยรัชกาลที่ 8 ป้ายนิเทศแสตมป์พระบรมฉายาลักษณ์ แผ่นป้ายจัดนิทรรศการ พระบรมฉายาลักษณ์ในอิริยาบถต่างๆ กว่า 40 ภาพ และมีตู้แสดงอุปกรณ์ที่รัชกาลที่ 8 เสด็จมาทำพิธีเปิดโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2481
โทร. 036-414350-5
แหล่งเรียนรู้เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
ที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์ หมู่ 6 ตำบลนาโสม อำเภอชัยบาดาล จ.ลพบุรี
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์มีพื้นที่ครอบคลุม 4 ตำบลได้แก่ ตำบลนาโสม ตำบลหนองยายโต๊ะ ตำบลบัวชุม ตำบลซับตะเคียน อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มีพื้นที่ประมาณ 8,440 ไร่ เขาสมโภชน์เป็นภูเขาหินปูนสูงชัน 2 ลูก ที่ต่อเนื่องเป็นเทือกเขาเดียวกันตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี วางตัวในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือทอดยาวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ยาวประมาณ 9 กิโลเมตร กว้างประมาณ 2 กิโลเมตร มีความสูงจากระัดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 200-695 เมตร อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ได้รับประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2539 สิ่งที่น่าสนใจของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าแห่งนี้คือ
1. สภาพป่าปกคลุมพื้นที่ประกอบด้วยป่าไม้ 2 ลักษณะคือ ป่าดิบแล้งขึ้นปกคลุมตามหุบเขาและีป่าเบญจพรรณตามเชิงเขาและที่ราบเชิงเขา พันธุ์ไม้มีหลากหลายชนิด ได้แก่ ประดู่ มะค่าโมง ปู่เจ้า ตะเคียนทอง ตะเคียนหมู ฯลฯ นอกนั้นก็จะเป็นพันธุ์ไม้ที่มีผลเป็นอาหารขอสัตว์ ได้แก่ ไทร มะกอกป่า มะกัก กะเบากลัก มะซาง ฝรั่งป่า ยอป่า ฯลฯ ส่วนตามเขาหินปูนมีต้นจันทน์ผา จันทน์แดง ปรง สลัดได ฯลฯ และมีพืชบางชนิดที่พบเป็นพืชสมุนไพรหายาก เช่น มะพร้าวป่า ชิงชี่ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง ตาลเสี้ยน
2. ทรัพยากรสัตว์ป่าที่สำรวจพบมากกว่า 200 ชนิด เช่น เลียงผา(เป็นสัตว์ป่าสงวน) หมีควาย ค่างแว่น ลิง ค้างคาว เม่น หมาจิ้งจอก เสือปลา เสือไฟ แมวป่า ไก่ฟ้า ไก่ป่า กระรอกหลากสี นกกินปลี นกปรอดหัวจุก นกตีทอง และนกชนิดต่างๆ อีกมากมาย
3. ภูมิประเทศและธรรมชาติที่น่าสนใจเช่น ถ้ำ ที่ราบในหุบเขา แหล่งซับน้ำ ลานหินผุดและซากดึกดำบรรพ์อายุประมาณ 230-280 ล้านปี เช่น ซากปะการัง ซากไบรโอซัว คดข้าวสาร หอยชนิดต่างๆ
กิจกรรมในการท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเช่น ถ้ำ ลานหินผุด ซากฟอสซิล พืชพันธุ์ต่างๆ และสัตว์ป่า กา่รเดินป่าศึกษาธรรมชาติ และที่ได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตื่นเช้าชมพระอาทิตย์สาดแสงสีทองในยามเช้าพาดผ่านเทือกเขาพังเหย และพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณเขาสมโภชน์
การสำรวจถ้ำที่เขาสมโภชน์ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนมียอดเขาสลับซับซ้อน จึงทำให้พบถ้ำหลายแห่งในพื้นที่ บางถ้ำภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อยสวยงาม เช่น
1. ถ้ำพรหมโลก ค้นพบขวานหินขัด ใบหอกสำริด ไหมีหูขนาดใหญ่ และภาชนะดินเผา เป็นโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์
2. ถ้ำหมี ค้นพบขวานหินขัด ภาชนะและเศษภาชนะต่างๆ เป็นโบราณวัตถุสมัยหินตอนปลาย
3. ถ้ำงู หรือ ถ้ำรู หรือ ถ้ำบาดาล เป็นถ้ำอยู่ลึกลงไปในดิน
4. ถ้ำพระอรหันต์ มีหินงอกหินย้อย
5. ถ้ำเพชร ค้นพบเศษภาชนะตามซอกหิน
6. ถ้ำน้ำทิพย์ ภายในถ้ำมีบ่อน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร ลึก 2 เมตร
7. ถ้ำรำวง เป็นสถานที่ใช้รำวง ถวายพญาเทวา พญานาค เพื่อขอฝนให้ตก
8. ถ้ำสิงห์โต มีหินงอกรูปร่างคล้ายหัวสิงโต
นอกจากนี้ยังมี ถ้ำเจดีย์ ถ้ำกระดูกหรือถ้ำคู่ ถ้ำเขาทะลุ ถ้ำหนุมาน ถ้ำมรกต ถ้ำใหญ่ ถ้ำน้ำ ถ้ำลมเย็น ถ้ำค้างคาว ฯลฯ ถ้ำบางแห่งได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม
การเดินป่าศึกษาธรรมชาติเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้มีการจัดทำเส้นทางในการเดินเท้าเพื่อศึกษาธรรมชาติขึ้น 2 เส้นทาง คือ
1. เส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ พรหมโลก-โสมพันปี ระยะทาง 5,000 เมตร เส้นทางเดินเท้ามีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณสลับกับป่าดิบแล้ง เพื่อศึกษาระบบนิเวศป่า
2. เส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาิติ จันทน์ผา ระยะทาง 2,500 เมตร เส้นทางเดินเท้ามีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณ เพื่อศึกษาเรื่องป่าสมุนไพร
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติวิทยาที่หลากหลายและน่าสนใจ นอกจากนี้บริเวณเขาสมโภชน์ยังมีสถานที่ใช้สำหรับฝึกสมาธิปฏิบัติธรรมที่วัดเขาสมโภชน์ วัดถ้ำพรหมโลก และอีกหลายวัดที่อยู่บริเวณเขาสมโภชน์ สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
โทร. 036-451725
แหล่งเรียนรู้สหวิทยาการ เขาเอราวัณ
ที่อยู่ 29/1 ต.ช่องสาลิกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรีี
บริเวณตำบลช่องสาริกามีภูเขาหลายลูกเรียงติดกันเรียกว่า "เทือกเขาอ้ายก้าน" ประกอบด้วย เขาฝาชี เขาเขียว เขาอ้ายก้าน เขาไม่มีชื่อและเขาช่องสาริกา โดย "ภูเขาเอราวัณ" เป็นเขาหินปูนที่อยู่ระหว่างเขาช่องสาริกา ตั้งอยู่ระหว่างหมู่ 9, 12 และ 13 มีพื้นที่ 1,500 ไร่ ความสูงประมาณ 267 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีสภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีคุณค่าทางธรรมชาติวิทยาและโบราณคดี
เมื่อปลายปี พ.ศ.2546 ราษฎรหมู่ที่ 9 ตำบลช่องสาลิกา ได้รับทราบข่าวว่าจะมีการก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ และขอสัมปทานภูเขาเอราวัณ เพื่อใช้หินปูนคุณภาพดีนำมาเป็นวัตถุดิบ ราษฎรจึงรวมตัวเป็นกลุ่มมีชื่อว่า "ชมรมรักษ์เขาเอราวัณ" คัดค้านโครงการนี้ด้วยเหตุผลว่าการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ในพื้นที่ ที่ราษฎรทำการเกษตรกรรมโดยรอบใกล้วัด และชุมชนก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ส่วนในบริเวณพื้นที่ภูเขาเอราวัณนั้นมีคุณค่าทางธรรมชาติวิทยาและโบราณคดี จึงได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทำการศึกษาหาข้อมูลทางวิชาการเพื่อใช้เป็นประเด็นหยุดยั้ง มิให้มีการอนุญาตให้ทำลายภูเขาเอราวัณ โดยมีหน่วยงานดังนี้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชศึกษาเรื่องพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ กรมทรัพยากรธรณีศึกษาเรื่องซากดึกดำบรรพ์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียรศึกษาเรื่องถ้ำ สำนักโบราณคดีฯ ที่ 4 กรมศิลปากรศึกษาเรื่องหลักฐานโบราณคดี ผลการศึกษาพบว่า ที่ภูเขาเอราวัณมีหลักฐานที่ทรงคุณค่าทางวิชาการด้านพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ซากดึกดำบรรพ์ แหล่งโบราณคดีและถ้ำใหญ่โตสวยงามมากมาย
การสำรวจศึกษาชุมชนและคุณค่าของภูเขาเอราวัณได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานและพบหลักฐานที่มีคุณค่ามากมาย เช่น
1. ถ้ำ ในพื้นที่ภูเขาเอราวัณมีถ้ำอยู่มากกว่า 15 ถ้ำ มีการสำรวจถ้ำหลักจำนวน 5 ถ้ำได้แก่ ถ้ำเทวาพิทักษ์ ถ้ำโปร่ง ถ้ำเอราวัณ ถ้ำอริยะสัจ 4 และถ้ำที่ยังไม่มีชื่ออีก 1 ถ้ำ ภายในถ้ำมีความสวยงามตามธรรมชาติ มีหินงอก หินย้อย ม่านหินย้อย หลอดหินย้อย หินผุด หินน้ำไหล เสาหิน หินปูนฉาบ ฯลฯ จากการสำรวจถ้ำพบว่า 'ถ้ำเทวาพิทักษ์' เป็นถ้ำมีขนาดใหญ่ที่สุด และความยาวของถ้ำประมาณ 200 เมตร
2. ฟอสซิสดึกดำบรรพ์ พบซากฟอสซิลหอยนอติลุส(หอยวงช้าง) คชข้าวสาร ปะการัง พลับพลึงทะเล และหอยกาบเดียวอีกหลายชนิด
3. ภาชนะดินเผา บางถ้ำพบหลักฐานทางโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายอายุกว่า 2,000 ปี เช่น ภาชนะทรงพานหรือภาชนะฐานสูง เศษภาชนะดินเผาลวดลายต่างๆ และท่อหล่อ
4. สัตว์ป่า มีการสำรวจพบมี 'นกจู๋เต้นเขาปูน' ซึ่งเป็นนกเฉพาะถิ่นซึ่งนับเป็นแหล่งที่ 2 ของโลกเพราะอาศัยอยู่เฉพาะในเขาหินปูน นอกจากนั้นยังพบ ค้างคาวมงกุฎเทาแดง ตุ๊กแกป่า ลิงกัง อีเห็น เม่น เต่าเหลือง ไก่ป่า และสัตว์ป่าหายากอีกหลายชนิด
5. พันธุ์พืชเฉพาะถิ่นหายาก คือ'โมกราชินี'(Wrightia sirikitiae) ซึ่งเป็นพืชชนิดใหม่ของโลกค้นพบเมื่อปี 2544 บริเวณภูเขาหินปูนแถบจังหวัดสระบุรี ลพบุรี และปราจีนบุรี ตั้งชื่อตามพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นอกจากนี้ยังมีโมกเหลือง โกงกางน้ำจืด ขนุนดิน มะยมเงินมะยมทอง มะกา ขี้เหล็กฤาษี จันทน์ผา ปออีเก้ง ไทร ฯลฯ
บริเวณเขาเอราวัณมีสำนักสงฆ์ถ้ำเอราวัณซึ่งอยู่บริเวณใกล้กับถ้ำโปร่ง และด้านหลังของสำนักสงฆ์ถ้ำเอราวัณ จะเป็นถ้ำเอราวัณภายในถ้ำมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ข้างใน ส่วนทางด้านชมรมรักษ์เขาเอราวัณจึงได้ใช้ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นข้อมูลเรียกร้อง ให้หน่วยงานราชการที่มีอำนาจเกี่ยวข้องในการอนุมัติให้สัมปทานภูเขาเอราวัณได้พิจารณาว่า ไม่สมควรอนุมัติให้สัมปทานทำเหมืองหิน รวมทั้งได้จัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชั่วคราวขึ้นที่ สำนักสงฆ์ถ้ำเอราวัณ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลอันทรงคุณค่าภูเขาเอราวัณให้เป็นที่ทราบทั่วกัน ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2550 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศให้ภูเขาเอราวัณเป็นพื้นที่อนุรักษ์ประเภท "เขตห้ามล่าสัตว์ป่า" และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ซึ่งหมายถึงว่าภูเขาเอราวัณได้รับการคุ้มครองให้เป็นสมบัติทางธรรมชาติของประเทศ ปลายปีพ.ศ. 2551 ชมรมอนุรักษ์เขาเอราวัณได้พัฒนาแหล่งเรียนรู้ชั่วคราวเขาเอราวัณให้เป็นแหล่งเรียนรู้ถาวร ด้วยการขอใช้พื้นที่ชั้นล่างของหอสวดมนต์สำนักสงฆ์ถ้ำเอราวัณเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวร โดยใช้งบประมาณจากภาคประชาชนมีชื่อว่า "แหล่งเรียนรู้สหวิทยาการเขาเอราวัณ"
ปัจจุบัน เขาเอราวัณเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนและเยาวชน เป็นแหล่งสำรวจศึกษาทางวิชาการของนักศึกษา นักวิชาการและสถาบันวิชาการทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ เป็นแหล่งทำกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีท้องถิ่นโดยมีสำนักสงฆ์ที่เชิงเขา เป็นแหล่งอนุรักษ์พรรณพืชและสัตว์ป่าประจำถิ่น เป็นแหล่งศึกษาด้านโบราณคดีและมีพิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ที่เปิดให้ศึกษาทุกวัน บริเวณเขาอราวัณมีความเหมาะสมที่จะพัฒนาเ็ป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป
การเยี่ยมชมติดต่อสอบถามได้ที่ ชมรมรักษ์เขาเอราวัณ โทร. 08-95385957
2023 © Thepsatri Rajabhat University