บ้านหลวงรับราชทูต หรือบ้านวิชาเยนทร์
สร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพื่อรับรองเอกอัครราชทูตจากฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นทูตจากฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2228 ก็ได้พัก ณ สถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า บ้านหลวงรับราชทูต ในตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ขุนนางสำคัญในสมัยนั้นเคยพักอยู่ที่นี่ จึงเรียกตึกนี้ว่า บ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อีกชื่อหนึ่ง
อาคารของบ้านหลวงรับราชทูตเป็นอาคารที่สร้างด้วยอิฐ ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีกำแพงล้อมโดยรอบ พื้นที่บริเวณบ้านหลวงรับราชทูตแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นกลุ่มอาคาร ได้แก่ ตึกสองชั้นหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐและอาคารชั้นเดียวแคบยาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม
ส่วนกลางมีอาคารที่สำคัญ คือ ฐานของสิ่งก่อสร้างซึ่งเข้าใจว่าเป็นหอระฆัง และ โบสถ์คริสตศาสนา ซึ่งอยู่ทางด้านหลังซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปจั่ว
ส่วนทิศตะวันออก ได้แก่ กลุ่มอาคารใหญ่ 2 ชั้น มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม ซุ้มประตูทางเข้ามีลักษณะเช่นเดียวกับทางทิศตะวันตก
ด้วยเหตุที่มีสิ่งก่อสร้างหลายหลังดังกล่าว จึงต้องสันนิษฐานว่าส่วนใดเป็นที่พำนักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์และส่วนใดเป็นที่พำนักของคณะทูตชาวฝรั่งเศส
ผลจากการสำรวจแผนผังบริเวณบ้านวิชาเยนทร์พบว่า ส่วนกลางและส่วนทางทิศตะวันออก มีสิ่งก่อสร้างที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้มีความสัมพันธ์กัน คือ โบสถ์และตึกหลังใหญ่ 2 ชั้น และได้รับการก่อสร้างอย่างมั่นคงแข็งแรงดูสวยงาม บริเวณดังกล่าวจึงควรเหมาะสมใช้เป็นที่ต้อนรับทูตชาวต่างประเทศโบสถ์คริสตศาสนาคงใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาของบาทหลวงคณะเจซูอิต ได้เข้ามาพร้อมคณะทูตหลายรูป ส่วนอาคารบริเวณทางทิศตะวันตกคงเป็นที่พักอาศัยของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
ลักษณะของสถาปัตยกรรมในบ้านวิชาเยนทร์บางหลังเป็นแบบยุโรปอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอาคารใหญ่ทางทิศตะวันออก ก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้น หน้าต่างและซุ้มประตูแสดงให้เห็นลักษณะศิลปตะวันตกแบบเรอเนสซองต์ ซึ่งแพร่หลายในระยะเวลาเดียวกัน และที่สำคัญอีกคือ อาคารที่เป็นโบสถ์คริสตศาสนา ผังและแบบของโบสถ์เป็นแบบยุโรปมีซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีเสาปลายเป็นรูปกลีบบัวยาว ซึ่งเป็นศิลปแบบไทย โบสถ์หลังนี้ถือกันว่าเป็นโบสถ์คริสตศาสนาหลังแรกในโลกที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา