สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
ประเพณีใส่กระจาด หรือ ประเพณีเส่อกระจาด
ประเพณีใส่กระจาด หรือ ประเพณีเส่อกระจาด เป็นประเพณีหนึ่งของชาวไทยพวนในอำเภอบ้านหมี่(ลพบุรี) มีอยู่ในตำบลบ้านกล้วย ตำบลบ้านทราย ตำบลหินปัก ตำบลบางกะพี้ ตำบลเชียงงา ตำบลโพนทอง ตำบลหนองทรายขาว ตำบลหนองเต่า และตำบลสนามแจง เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยพวน โดยมีการรักษาและสืบทอดประเพณีใส่กระจาด
การจัดงานประเพณีใส่กระจาด ก่อนที่จะจัดงานนั้นชาวบ้านจะมาประชุมกันเพื่อตกลงว่าจะทำบุญใส่กระจาดกันในวันใด ร่วมกับเจ้าอาวาสวัดในหมู่บ้านของตน เมื่อตกลงกันได้แล้วในตอนเย็นก่อนวันใส่กระจาด ครอบครัวหรือคนในหมู่บ้านที่จะจัดงานประเพณีใส่กระจาดและเทศน์มหาชาติ จะไปบอกเพื่อนบ้านมาช่วยงานกันทั้งหมู่บ้าน
วันที่กำหนดโดยจะจัดขึ้นพร้อมกับทำบุญพระเวส บุญมหาชาติ หรือในงานเทศน์มหาชาติ ซึ่งส่วนมากจะกำหนดหลังออกพรรษา คือ วันข้างแรม เดือน 11
«เดือนไทยโบราณ» หรือ (ราวกลางเดือนตุลาคม «เดือนไทยปัจจุบัน») เมื่อหมู่บ้านใดกำหนดให้มีเทศน์มหาชาติขึ้นแล้ว ทางวัดก็จะส่งหนังสือกัณฑ์เทศน์ไปตามวัดต่างๆ เพื่อให้วัดต่างๆ ส่งพระมาร่วมเทศน์ ก่อนวันเทศน์ 1 วัน เรียกว่า "วันตั้ง" คือ "วันใส่(เส่อ)กระจาด" ก่อนถึงวันใส่กระจาด 1 วัน เรียกว่า "วันต้อนสาว" บ้านไหนที่จะทำพิธีใส่กระจาดเจ้าของบ้านจะชวนลูกสาว หลานสาวของเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยมาช่วยกันทำขนม ห่อข้าวต้ม ตำข้าวปุ้น(ขนมจีน) และต้อนรับแขกที่จะมาในงานบุญใส่กระจาดที่บ้าน วันนี้ช่วงเย็นๆ จะมีหนุ่มๆ หมู่บ้านใกล้เคียง และหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกันมาช่วยกันทำขนมจีนกันอย่างสนุกสนาน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุย และช่วยกันเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงแขกในวันรุ่งขึ้น
สิ่งของที่จัดทำขึ้นในประเพณีทำบุญใส่กระจาด 3 อย่าง ผู้เฒ่าผู้แก่บอกความหมาย ดังนี้
ข้าวปุ้น(ขนมจีน) มีเส้นยาวแสดงถึงความเหนียวแน่นกลมเกลียวกันมีความรัก ความสามัคคีซึ่งกันและกัน
ขนมหวาน ที่นิยมทำกันคือ ขนมลอดช่อง หมายถึงด้านการงาน ขอให้ราบรื่น สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไหลลื่นเหมือนเส้นของขนมลอดช่อง
ข้าวต้มมัด ทำไว้เพื่อเป็นของตอบแทนแก่ผู้มาใส่กระจาด ซึ่งวันรุ่งขึ้นจะมีการใส่กระจาด
วันใส่(เส่อ)กระจาด ชาวบ้านจะมาร่วมใส่กระจาดตามบ้านที่ทำพิธีหรือในหมู่บ้านที่จัดงาน สิ่งของที่นำมาใส่กระจาดเช่น กล้วย อ้อย ส้มโอ มะพร้าว ผลไม้ต่างๆ ธูปเทียน เงิน และสิ่งของอื่นๆ ให้แก่บ้านที่ทำพิธีใส่กระจาด เจ้าของบ้านก็จะนำอาหารที่เตรียมไว้มาเลี้ยงดู เมื่อแขกลากลับ เจ้าของบ้านก็จะให้ข้าวต้มมัด ซึ่งเป็นการตอบแทนผู้ที่ มาใส่กระจาด เรียกว่า "คืนกระจาด" ในวันนี้จะใส่กระจาดกันจนมืดทุกบ้านจะปฏิบัติอย่างเดียวกัน แขกที่ไปใส่กระจาดจะต้องกินอาหารของเจ้าของบ้านทุกบ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็น "วันเทศน์มหาชาติ หรือการทำบุญพระเวส หรือการทำบุญมหาชาติ" วันเทศน์ชาวบ้านจะจัดสำรับไปทำบุญที่วัด โดยเจ้าของบ้าน รวบรวมของที่ผู้มาใส่กระจาดนั้นไปทำบุญที่วัด โดยทำการติดกัณฑ์เทศน์ในบุญพระเวสหรือเทศน์มหาชาติ ถวายพระที่วัด ซึ่งเป็นงานบุญยิ่งใหญ่ประจำปี
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ประเพณีชักพระศรีอารีย์วัดไลย์
ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ อยู่ที่ ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เป็นประเพณีที่ชาวบ้านถือปฏิบัติกันมาช้านานและเชื่อกันว่า "พระศรีอาริย์ หรือพระศรีอริยเมตไตร" จะมาตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกมนุษย์หลังจากสิ้นสุดศาสนาของพระมหาสมณโคดมแล้ว 5,000 ปี เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เรียกว่า "ศาสนาพระศรีอาริย์" จึงได้มีการสร้างรูปพระศรีอาริย์ขึ้น เพื่อเป็นที่เคารพสักการะ โดยเชื่อกันว่าจะได้ไปเกิดในยุคศาสนา ของพระศรีอาริย์ แล้วจะมีความร่มเย็นเป็นสุข
ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ แต่เดิมจะจัดในช่วงหน้าน้ำตรงกับวันแรม 5 ค่ำ เดือน 11 เป็นประเพณีทางชลมารค เพราะน้ำจะท่วมทุ่งการสัญจรไปทางเรือสะดวก การแห่ทางชลมารค จะอัญเชิญรูปพระศรีอาริย์ ลงเรือปิกนิก เรียกกันว่า "เรือทรง" มีเรือพายของคณะกรรมการวัดใช้เชื่อกลากจูงนำหน้า และมีเรือพ่ายของชาวบ้านนับร้อยๆ ลำ ร่วมขบวนแห่ มีบางพวกก็แข่งเรือยาว บางพวกเล่นเพลงฉ่อยและเพลงเรืออย่างสนุกสนาน ท้ายขบวนมีเรือเอี้ยมจุ๊นของทางวัดบรรทุกวงมโหรี ปี่พาทย์ และแตรวง บรรเลงให้ความครึกครื้นไปตลอดทาง โดยเรือทุกลำจะตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อโยงเรือทรงและผลัดเปลี่ยนกันจูงไปตามลำน้ำบางขามจนถึงวัดมหาสอน ตำบลมหาสอน อำเภอบ้านหมี่ ตลอดระยะทางจะมีการตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่ผู้ร่วมขบวนเป็นระยะๆ เมื่อขบวนแห่กลับมาถึงวัดก็จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มนัสการ สรงน้ำ และปิดทองพระ ในตอนกลางคืนประชาชนจะนำเรือพายมาลอยอยู่หน้าวัดเพื่อฟังพ่อเพลงแม่เพลงเล่นเพลงพื้นบ้าน โต้ตอบกันเป็นที่สนุกสนาน และเรือทุกลำจะมีการจุดตะเกียงจนดูสว่างไสวไปทั่ว ส่วนบนศาลา วัดไลย์นั้นจะมีการเทศนาเรื่องตำนานพระศรีอาริย์ วัดไลย์ ให้ประชาชนฟังไปพร้อมๆ กัน
ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ทางชลมารคได้ล้มเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เพราะได้มีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตร จึงทำน้ำเหนือที่เคยไหลท่วมทุ่ง ตำบลเขาสมอคอนก็แห้งแล้งลง ประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ก็ได้เปลี่ยนมาจัดในฤดูแล้งแทน คือ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เป็นประเพณีแห่ทางสถลมารค แต่พิธีการต่างๆ ยังคงอนุรักษ์แบบแผนเดิมไว้
ปัจจุบันประเพณีชักพระศรีอาริย์ วัดไลย์ ทางสถลมารคได้กำหนดให้วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี โดยถือปฏิบัติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ทางวัดจะจัดขบวนแห่และได้มีการอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ ประดิษฐานบนตะเฆ่ชนิดไม่มีล้อทำเป็นบุษบกมีหลังคาหรือทำเป็นฉัตรกั้นแทน แล้วนำเชือกขาดใหญ่ 2 เส้น ผูกตะเฆ่เป็น 2 แถว ให้ประชาชนทั้งหลายที่มาร่วมงานช่วยกันชักลาก ไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาจะจุดพลุ พร้อมตีกลองและระฆัง เป็นสัญญาณให้เริ่มฉุดลากตะเฆ่ เพื่ออัญเชิญรูปพระศรีอาริย์แห่ผ่านหมู่บ้านต่างๆ เริ่มจากวัดไลย์ไปสิ้นสุดที่วัดท้องคุ้ง ซึ่งตลอดระยะทาง จะมีผู้มาตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารนานาชนิด กับประชาชนทั้งหลายที่มาร่วมงาน มีดนตรีและการละเล่นต่าง ๆ เมื่อสุดเส้นทางที่กำหนดไว้ จึงแห่รูปพระศรีอาริย์กลับ พอถึงวัดอัญเชิญขึ้นประดิษฐานยังวิหารตามเดิมและเปิดโอกาสให้ประชาชนมานมัสการ ปิดทอง กลางคืนจะมีมหรสพสมโภชตลอดงาน
ประเพณีตักบาตรดอกไม้
ตักบาตรดอกไม้หรือประเพณีตักบาตรดอกไม้ คือการนำดอกไม้ ธูป เทียน ถวายพระก่อนที่พระเข้าโบสถ์ในวันเข้าพรรษา ในจังหวัดลพบุรีจะทำอยู่ 2 แห่ง คือวัดสิริจันทรนิมิตร(วัดเขาพระงาม) ตำบลเขาพระงาม และวัดมณีชลขันฑ์ ตำบลพรหมาสตร์ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
"การตักบาตรดอกไม้มีความเป็นมาจากพุทธตำนาน กล่าวถึงสมัยพุทธกาล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จโปรดสัตว์ในกรุงพาราณสี วันหนึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินมาถึงอุทยานพระเจ้าพิมพิสารมีคนสวนหลวงผู้หนึ่ง มีหน้าที่เก็บดอกไม้ถวายพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน แต่วันนั้นคนสวน ได้พบบุคคลหนึ่งมีลักษณะมหาบุรุษ อันประเสริฐ บังเกิดความเลื่อมใสจึงถวายดอกไม้ที่เก็บจากสวนหลวงทั้งหมด ให้แก่่มหาบุรุษโดยมิได้ทราบมาก่อนคือ พระพุทธเจ้า อานิสงส์แห่งการถวายดอกไม้แก่ผู้มีพระภาคเจ้าทำให้เกิดสิ่งมงคลแก่ชีวิตคนสวนมากมาย แม้แต่พระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงปิติในอานิสงส์นั้นมิได้ลงอาญาแต่อย่างใด"
วัดเขาพระงามหรือวัดสิริจันทรนิมิตร
วัดเขาพระงามทำบุญช่วงวันเข้าพรรษา 3 วัน คือ(ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8, แรม 1 ค่ำ เดือน 8 และแรม 2 ค่ำ เดือน 8) วันอาสาฬหบูชา, วันเข้าพรรษา และวันที่คณะสงฆ์(ธรรมยุต)ลพบุรี สระบุรี มาประชุมเป็นธรรมเนียมปฏิบัติติดต่อกันมา
วันที่คณะสงฆ์(ธรรมยุต)ลพบุรี สระบุรี มาประชุมและเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติติดต่อกันมากำหนด กระทำภายในวันนี้ที่วัดเขาพระงาม โดยมีการปฏิบัติทางสงฆ์เช่น การรับพรจากพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทในที่ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน และการทำบุญอุทิศส่วนกุศล แก่บูรพาจารย์มีเจ้าคณะจังหวัดเป็นพระประธาน การชุมนุมของคณะสงฆ์(ธรรมยุต) ซึ่งมีมากกว่า 300 รูปปฏิบัติกันทุกปี
วันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
ช่วงเช้า วัดเขาพระงามมีการทำบุญ และเทศน์
ช่วงเย็น มีการเวียนเทียน
วันเข้าพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน 8
ช่วงเช้า ทำบุญ ถวายผ้าอาบน้ำฝน
ช่วงบ่าย พิธีเริ่มบ่ายโมง ถวายเทียนพรรษา มีชาวบ้านในชุมชน โรงเรียนมาร่วมกิจกรรม ทำพิธีในพระอุโบสถ ชาวบ้านนำดอกไม้ธูปเทียน
มาถวายที่วัดเขาพระงาม ชาวบ้านถวายดอกไม้(ตักบาตรดอกไม้) แก่พระสงฆ์ โดยที่พระสงฆ์ จะใช้ผ้าอาบน้ำฝนผูกเป็นถุง เพื่อในการใส่ดอกไม้ที่ญาติโยมทั้งหลายได้นำมาถวาย(ไม่ได้ใส่บาตร) เมื่อพระสงฆ์รับบิณฑบาตแล้ว จะนำดอกไม้ ไปถวายเป็นพุทธบูชา ในวันเข้าพรรษาที่ปฏิบัติติดต่อกันมา
ช่วงเย็น พระสงฆ์อธิฐานการจำพรรษาในโบสถ์
วันที่คณะสงฆ์(ธรรมยุต) ลพบุรีและสระบุรี มาประชุมและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ แรม 2 ค่ำ เดือน 8
วันที่คณะสงฆ์(ธรรมยุต)ลพบุรี สระบุรี มาประชุมและเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติติดต่อกันมากำหนด กระทำภายในวันนี้ที่วัดเขาพระงาม โดยมีการปฏิบัติทางสงฆ์เช่น การรับพรจากพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทในที่ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน และการทำบุญอุทิศส่วนกุศล แก่บูรพาจารย์มีเจ้าคณะจังหวัดเป็นพระประธาน การชุมนุมของคณะสงฆ์(ธรรมยุต) ซึ่งมีมากกว่า 300 รูปปฏิบัติกันทุกปี
วัดมณีชลขัณฑ์
วัดมณีชลขัณฑ์ เริ่มมีการตักบาตรดอกไม้เมื่อ พ.ศ. 2476 เมื่อพระเทพวรคุณ(อ่ำ ภัทราวุโธ) เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ และได้นำประเพณีนี้มาจากวัดเขาพระงาม แต่เนื่องจากวัดมณีชลขัณฑ์ เป็นวัดที่มีการคมนาคมสะดวกใกล้ตัวเมืองจึงมีผู้นิยมมาที่วัดมณีชลขัณฑ์มากกว่า ในอดีตมีประชาชนแน่นมากตั้งแต่ประมาณ 16.00 น. ณ ศาลาการเปรียญหลังเก่า ประชาชนต้องตั้งแถวเรียงกัน เป็นสองฝากตั้งแต่บนศาลาการเปรียญ แถวจะยาวโดยรอบออกมาข้างนอก ผ่านทิศตะวันออกของเจดีย์หลวงพ่อแสง ข้ามถนนที่เห็นในปัจจุบันถึงเจดีย์ล้อมฝากทางทิศเหนือ
![]() |
![]() |
ตักบาตรดอกไม้ก่อนปี พ.ศ. 2500 | ตักบาตรดอกไม้เมืื่่อปีพ.ศ. 2527 สมัยพระศรีวรคุณ(นวล) เป็นเจ้าอาวาส พระครูวินยาภิรัต(ถมยา) เป็นผู้ช่วย |
ประเพณีกำฟ้า
ประเพณีกำฟ้า เป็นประเพณีสำคัญที่ชาวไทยพวนทุกแห่งได้ยึดถือปฏิบัติต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า "ประเพณีกำฟ้า" มีความหมายดังนี้
คำว่า "กำ" ในภาษาพวน หมายถึง การนับถือสักการะ
คำว่า "ฟ้า" หมายถึงเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน หรือผู้ที่อยู่สูงเทียมฟ้า คือเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจมองเห็นได้
คำว่า "กำฟ้า" หมายถึงการนับถือฟ้า สักการบูชาฟ้า เป็นงานบุญพื้นบ้านอย่างหนึ่งของชาวไทยพวนโดยเชื่อกันว่า เมื่อได้มีการทำบุญประกอบพิธีกรรมตั้งบายศรีและประกาศขอพรจากเทวดาผู้รักษาฝากฟ้า แล้วเทวดาจะบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
สาเหตุที่เกิดประเพณีกำฟ้า เพราะชาวไทยพวนมีอาชีพทำนาจึงมีวิถีชีวิตผูกพันกับฟ้า ไม่กล้าทำให้ฟ้าพิโรธ เพราะกลัวว่าฟ้าจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือฟ้าจะผ่าคนตาย เพื่อผีฟ้าเทวดามีความพึงพอใจ ยังเป็นการแสดงความขอบคุณผีฟ้าที่ประทานฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งหมายถึงความชุ่มชื้น ความอุดมสมบูรณ์ ความมีชีวิตของคน สัตว์และพืชต่างๆ จึงเกิดเป็นประเพณีกำฟ้าขึ้น แต่เดิมวันกำฟ้าถือกำหนดเอาวันที่มีผู้ได้ยินเสียงฟ้าร้องครั้งแรกในเดือน 3 เป็นวันเริ่มประเพณีกำฟ้า เพราะถือกันว่าเป็นวันที่ฟ้าเปิดประตูน้ำ แต่การยึดถือในวันดังกล่าว มักมีข้อผิดพลาดเกิดการโต้แย้ง กัน เนื่องจากบางคนไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ต่อมาได้กำหนดเอาวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันเตรียมงาน วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันกำฟ้า สัตว์เลี้ยงที่เคยใช้งานก็จะให้หยุดการทำงาน ในวันนี้ถ้าใครทำงานชาวไทยพวนเชื่อว่าจะเกิดพิบัติต่างๆ ฟ้าจะลงโทษโดยถูกฟ้าผ่า ห้ามไม่ให้พูดคำหยาบคาย ในช่วงเวลากำฟ้าผู้สูงอายุในครอบครัวจะคอยฟังฟ้าร้อง เพื่อพยากรณ์ความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพในหมู่บ้าน โดยมีคำทำนาย ดังนี้
เสียงฟ้าร้อง หมายถึง การเปิดประตูน้ำ
ฟ้าร้องทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทำนายว่าฝนจะตกดี ทำนาจะได้ข้าวดี
ฟ้าร้องทางทิศใต้ทำนายว่าฝนจะแล้ง ข้าวกล้าในนาจะเสียหาย ชาวบ้านจะอดเกลือ
ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก ทำนายว่าฝนจะน้อย เกิดความแห้งแล้ง ทำนาไม่ค่อยได้ผล นาในที่ลุ่มดี นาในที่ดอนจะเสียหาย ข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านจะเดือดร้อนเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท รบราฆ่าฟันกัน
ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก ทำนายว่าชาวบ้านจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไม่มีรบร่าฆ่าฟันกัน ไม่มีโจรผู้ร้าย
ในคืนที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องครั้งแรกในเดือน 3 ก่อนที่จะเข้านอน เจ้าของบ้านจะร้องบอกแก่สัตว์เลี้ยงของตนให้รู้ตัวและสงบเสงี่ยมว่า "งัว (วัว) ควายเอ้ย กำฟ้าเน้ออย่าได้อึกทึกครึกโครม แต่บัดนี้ไปจนฮุ่ง (รุ่ง-สว่าง) ตะเง็น (ตะวัน- พระอาทิตย์) จึงม้น (พ้น) เน้อ"
ประเพณีกำฟ้าของชาวไทยพวน ตามประเพณีนั้นในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 สมาชิกในครัวเรือนจะช่วยกันทำข้าวปุ้น (ขนมจีน) ข้าวหลาม (ข้าวหลามที่ใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญ เรียกว่า ข้าวหลามทิพย์) ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปั้นยัดไส้หวาน ไส้เค็ม ชุบไข่ แล้วปิ้งไฟจนแห้งเกรียม) เพื่อนำไปเซ่นไหว้ผีฟ้า จะมีการสร้างปะรำสำหรับทำพิธีที่วัด ในตอนเย็นจะนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์เย็น ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะประกอบพิธีบายศรีอัญเชิญเทพยดา (ผีฟ้า) มารับเครื่องสังเวย และมีการรำขอพร จากนั้นจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่จะเอาไม้ไปเคาะที่เตาไฟ กล่าวคำ ขอให้ผีฟ้า ผีบ้าน ผีเรือน มาปกปักรักษา ในครอบครัวให้อยู่ดีกินดี มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์
รุ่งขึ้นวันกำฟ้า ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 จะไปทำบุญที่วัดในตอนเช้า ตอนบ่ายถึงกลางคืนจะมีการละเล่นพื้นบ้าน เช่น เตะหม่าเบี้ย ต่อไก่ คร่อมเส้า ไม้อื่อ ช่วงชัย มอญซ่อนผ้า บางครั้งมีการละเล่นเซิ้ง ลำพวน นางด้งนางกวัก นางสาก นางช้าง และลิงลม ซึ่งถือเป็นกรทรงเจ้าเข้าผีด้วย หลังจากวันกำฟ้า 1 สัปดาห์ จะไปทำบุญที่วัดอีกครั้ง หลังจากนั้นจะนำดุ้นฟืนที่ติดไฟ 1 ดุ้นไปทิ้งตามแม่น้ำลำคลองให้ไหลไปตามสายน้ำ เรียกว่า "การเสียแล้ง" เป็นการบูชารำลึก เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และเป็นการบอกกล่าวแก่เทพยาดา (ผีฟ้า) ว่าหมดเขตกำฟ้าแล้ว
ปัจจุบันประเพณีกำฟ้าของชาวไทยพวน ยังยึดถือปฏิบัติการจัดงานกันหลายท้องถิ่นโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ใน
ในปัจจุบันสังคมและวัฒธรรมจะเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติและก็ยังมีชาวบ้านรุ่นหลังอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามอนุรักษ์วัฒธรรมดั้งเดิมไว้ จึงนับได้ว่าเป็นการฟื้นฟูประเพณีพื้นบ้านให้สืบต่อไป
งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จัดขึ้นโดยจังหวัดลพบุรีร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมศิลปากร ชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานสิ่งแวดล้อมจังหวัดลพบุรี เทศบาลเมืองลพบุรี หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน งานนี้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2522 ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ใช้ชื่อว่างาน "นารายณ์รำลึก" ครั้งต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์และได้จัดเรื่อยมาทุกปี
จุดมุ่งหมายในการจัดงาน เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต่อแผ่นดินลพบุรีและประเทศชาติ อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชน สนใจในประเพณีและวัฒนธรม อันเก่าแก่ของชาติไทยและยังส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย
งานจะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี เพราะถือว่าเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนทรง "พระราชสมภพของสมเด็จพระนารายณ์" รูปแบบการจัดงาน ได้เชิญชวนให้ประชาชนผู้ร่วมงาน แต่งกายย้อนยุค ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มีการจัดขบวนแห่รอบตัวเมืองลพบุรี รำลึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเรียกความสนใจและความประทับใจ ต่อผู้มาชมงานเป็นอย่างมาก
ภายในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งกลางวันกลางคืน เช่น มีการออกร้านขายของบริเวณเขตพระราชฐานชั้นนอก มีมหรสพ เฉลิมฉลองในงาน การแสดงแสง เสียง เกี่ยวกับแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ งานราตรีวังนารายณ์ มีการประดับประทีป โคมไฟ ตามช่องสำหรับวางประทีปรอบกำแพงด้านในพระราชวังได้สร้างความประทับใจให้กับผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
2023 © Thepsatri Rajabhat University