สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
วัดพระสันเปาโล
สันนิษฐานว่าเป็นวัดในคริสตศาสนา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชที่ดินให้แก่บาทหลวงเยซูอิต 12 รูป ที่เดินทางมาสู่กรุงสยาม ครั้งที่ 2 (ครั้งแรก 6 รูป) สันนิษฐานวัดนี้สร้างระหว่าง พ.ศ.2228-2230 คือหลังจากคณะบาทหลวงชุดแรกเดินทางเข้ามาแล้ว และสร้างสำหรับบาทหลวงชุดที่ 2 ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์จะมาประจำ ณ เมืองลพบุรี เดินทางเข้ามาพร้อมกับโกษาปาน ที่ไปเจริญพระราชไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
วัดสันเปาโลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ทำพิธีทางศาสนา พร้อมกับใช้เป็นที่พักและที่สำคัญคือ มีหอดูดาวซึ่งใช้เป็นหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ แห่งแรกในกรุงสยาม มีลักษณะเป็นหอคอยแปดเหลี่ยม
ส่วนคำว่า "สันเปาโล" นี้คงจะเพี้ยนมาจากคำว่า เซนต์ปอล หรือแซงต์เปาโล "Saint Paulo" ชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า ตึกสันเปาหล่อ
จากหลักฐานการขุดแต่งของกรมศิลปากรพอสรุปได้ว่าวัดสันเปาโลมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมยุโรปคล้ายกับบ้านวิชาเยนทร์ นอกจากจะมีหอดูดาวแปดเหลี่ยมแล้ว ยังมีเรือนพักและพบฐานสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นโบสถ์ฝรั่งแต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ เมื่อมีการเปลี่ยนแผ่นดิน มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วัดสันเปาโลจึงถูกทิ้งร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากของผนังหอดูดาวแปดเหลี่ยมบางส่วน กับฐานของอาคารที่สันนิษฐานว่าเป็นที่พักและโบสถ์ฝรั่งเท่านั้น
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดร้างตั้งอยู่หลังสถานีรถไฟลพบุรี ในเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ เป็นวัดใหญ่และมีความสำคัญทาง ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีมากวัดหนึ่งมีโบราณสถานที่สำคัญต่าง ๆ มากมาย พระปรางค์องค์ใหญ่ตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของ พื้นที่มีเจดีย์และปรางค์องค์เล็ก ๆ สร้างล้อมรอบมีระเบียบคตถึงสองชั้น วัดนี้เริ่มสร้างตั้งแต่เมื่อใดนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด แต่ในสมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ได้ทรงปฏิสังขรณ์คราวหนึ่งและรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ได้ทรง ปฏิสังขรณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่จากการศึกษา ศิลปสถาปัตยกรรมและศิลปประติมากรรม ที่ปรากฏในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พอจะกำหนด อายุโบราณสถานต่าง ๆ ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุได้ว่า
ปรางค์ประธานองค์ใหญ่ ก่อด้วยศิลาแลงตั้งแต่ฐานถึงหน้าบันเหนือขึ้นไป เป็นอิฐจนถึงยอด ตอนหน้าปรางค์มีมุขยื่นออกมา มีผู้กำหนดอายุไว้ว่า พระปรางค์ได้สร้างขึ้นสองรุ่น รุ่นแรกสร้างราว พ.ศ. 1600 แล้ว พังเหลือแต่ฐาน ภายหลังจึงสร้างองค์ปรางค์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ขึ้นเป็นรุ่นที่สองในราว พ.ศ. 1800 เป็นปรางค์ที่ผิดไปจากแบบปรางค์เขมรแต่คงอิทธิพลศิลปเขมรแบบบายนอยู่ ที่เห็นขัดคือ ลวดลายปูนปั้นตกแต่งแต่องค์ปรางค์ จึงเข้าใจว่า ปรางค์องค์ที่เห็น ได้สร้างขึ้นเมื่อคนไทยมีอำนาจในภูมิภาคแถบนี้แล้ว
ปรางค์องค์เล็ก ที่มีภาพเขียนสีภายใน เป็นปรางค์ที่ต่างกับปรางค์แบบอยุธยา ตอนต้น คือ ยังไม่ทำเป็นปรางค์รูปทรงผักข้าวโพด และยอด ยังคงแกะสลักเป็นบัว ไม่ได้นพศูรย์เข้าใจว่าคงจะมีอายุรุ่นเดียวกับปรางค์ประธานองค์ใหญ่คือพุทธศตวรรษที่ 18 เช่นกัน ภายในปรางค์ มีรูปเขียนด้วยสีฝุ่น เป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระสาวก เป็นจิตกรรมฝาผนังยุคต้นที่น่าสนใจมาก
วิหารเก้าห้อง และวิหารหรือโบสถ์อื่นอีก 2 หลัง เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมเด็จพระนารายณ์โดยเฉพาะคือ ลักษณะวงโค้ง ตรงประตูและหน้าต่าง ซึ่งทำเป็นแบบโค้งแหลมและโค้งมน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากช่างต่างประเทศ
เจดีย์รายและปรางค์ ที่อยู่ภายนอกเขตระเบียงคตชั้นนอก เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยายุคต้น ส่วนเจดีย์ตั้งอยู่ระหว่างระเบียงคตชั้นในและ ชั้นนอกเช่น เจดีย์มีบัวปากฐาน เป็นรูปกลีบบัวรอบองค์ระฆัง หรือเจดีย์ที่มีรูปทรงเป็นฐานสิงห์ เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเป็นเจดีย์ แบบอยุธยาตอนปลาย ที่เข้าใจว่าคงได้สร้างขึ้นพร้อมกับการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุครั้งใหญ่ในรัชสมัยสมเด็จ พระนารายณ์ จึงกล่าวได้ว่าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้มีการก่อสร้างซ่อมแซมเพิ่มเติมซ่อมกัน หลายครั้ง นับตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ 16 เป็นต้นมา และได้รับการสร้างเสริมครั้งใหญ่ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เข้าใจว่าหลังรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เมืองลพบุรีลดความสำคัญลง และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นวัดใหญ่จึงไม่มีผู้ใดดูแลรักษาจึงต้องถูกทิ้งร้าง
เทวสถาน หรือปรางค์แขก
ปรางค์แขกเป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ไม่ใช่ศิลาแลง เป็นเทวสถานของขอม เป็นลักษณะของพระปรางค์ 3 องค์เรียงกัน ปรางค์องค์กลางสูง และใหญ่กว่าปรางค์ที่ขนาบอยู่ 2 ข้าง ปรางค์ทั้ง 3 เป็นอิสระจากกัน คือไม่มีระเบียงเชื่อมต่อกัน พระปรางค์แต่ละองค์จะเจาะช่องประตูองค์ละ 4 ช่อง แต่มีประตูใช้จริงเพียงประตูเดียว ที่สามารถเข้าไปในองค์พระปรางค์ได้คือ ประตูด้านหน้า ซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก ส่วนประตูทางด้านขวา และด้านหลัง ขององค์พระปรางค์ เป็นประตูหลอก สร้างขึ้นเพื่อความงามทางสถาปัตยกรรม
องค์ปรางค์เดิมนั้นเป็นอาคารก่อด้วยอิฐขัดเรียบ ไม่สอปูนแต่สอด้วยยางไม้ สันนิษฐานว่า ภายในบรรจุรูปเคารพ เป็นความสามารถอย่างน่าอัศจรรย์ของช่างโบราณ กรอบประตูทางเข้าสลักจากหินทรายเลียนแบบกรอบประตูไม้ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 15 ก่อสร้างคล้ายกับปรางค์ศิลปเขมรแบบพะโค (พ.ศ.1425-1436) เป็นปรางค์แบบเก่า เพื่อเป็นเทวสถานใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาฮินดู สังเกตได้ว่ายังมีฐานศิวลึงค์ปรากฏอยู่ในองค์กลางของเทวสถาน
ต่อมาได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ด้วยอิฐสอปูน ซึ่งเข้าใจว่ากระทำในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อม ๆ กับสร้างวิหารเล็กหน้าปรางค์ ซึ่งมีประตูทางเข้าแบบโค้งแหลม และถังเก็บน้ำซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของปรางค์ เทวสถานปรางค์แขกนับได้ว่าเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดลพบุรี ที่ยังเหลือสภาพให้เห็นปรากฏอยู่
บ้านหลวงรับราชทูต หรือบ้านวิชาเยนทร์
สร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพื่อรับรองเอกอัครราชทูตจากฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นทูตจากฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2228 ก็ได้พัก ณ สถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า บ้านหลวงรับราชทูต ในตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ขุนนางสำคัญในสมัยนั้นเคยพักอยู่ที่นี่ จึงเรียกตึกนี้ว่า บ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อีกชื่อหนึ่ง
อาคารของบ้านหลวงรับราชทูตเป็นอาคารที่สร้างด้วยอิฐ ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีกำแพงล้อมโดยรอบ พื้นที่บริเวณบ้านหลวงรับราชทูตแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นกลุ่มอาคาร ได้แก่ ตึกสองชั้นหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐและอาคารชั้นเดียวแคบยาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม
ส่วนกลางมีอาคารที่สำคัญ คือ ฐานของสิ่งก่อสร้างซึ่งเข้าใจว่าเป็นหอระฆัง และ โบสถ์คริสตศาสนา ซึ่งอยู่ทางด้านหลังซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปจั่ว
ส่วนทิศตะวันออก ได้แก่ กลุ่มอาคารใหญ่ 2 ชั้น มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม ซุ้มประตูทางเข้ามีลักษณะเช่นเดียวกับทางทิศตะวันตก
ด้วยเหตุที่มีสิ่งก่อสร้างหลายหลังดังกล่าว จึงต้องสันนิษฐานว่าส่วนใดเป็นที่พำนักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์และส่วนใดเป็นที่พำนักของคณะทูตชาวฝรั่งเศส
ผลจากการสำรวจแผนผังบริเวณบ้านวิชาเยนทร์พบว่า ส่วนกลางและส่วนทางทิศตะวันออก มีสิ่งก่อสร้างที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้มีความสัมพันธ์กัน คือ โบสถ์และตึกหลังใหญ่ 2 ชั้น และได้รับการก่อสร้างอย่างมั่นคงแข็งแรงดูสวยงาม บริเวณดังกล่าวจึงควรเหมาะสมใช้เป็นที่ต้อนรับทูตชาวต่างประเทศโบสถ์คริสตศาสนาคงใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาของบาทหลวงคณะเจซูอิต ได้เข้ามาพร้อมคณะทูตหลายรูป ส่วนอาคารบริเวณทางทิศตะวันตกคงเป็นที่พักอาศัยของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
ลักษณะของสถาปัตยกรรมในบ้านวิชาเยนทร์บางหลังเป็นแบบยุโรปอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอาคารใหญ่ทางทิศตะวันออก ก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้น หน้าต่างและซุ้มประตูแสดงให้เห็นลักษณะศิลปตะวันตกแบบเรอเนสซองต์ ซึ่งแพร่หลายในระยะเวลาเดียวกัน และที่สำคัญอีกคือ อาคารที่เป็นโบสถ์คริสตศาสนา ผังและแบบของโบสถ์เป็นแบบยุโรปมีซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีเสาปลายเป็นรูปกลีบบัวยาว ซึ่งเป็นศิลปแบบไทย โบสถ์หลังนี้ถือกันว่าเป็นโบสถ์คริสตศาสนาหลังแรกในโลกที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา
ศาลพระกาฬ
ศาลพระกาฬ ศาลพระกาฬ ตั้งอยู่ริมทางรถไฟทางด้านทิศตะวันออก เป็นเทวสถานเก่าครั้งขอมครองเมืองลพบุรีสร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูง จึงเรียกกันมาแต่ก่อนอีกชื่อหนึ่งว่าศาลสูง ที่ทับหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทำด้วยศิลาทราย 1 แผ่น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็กชั้นบน ณ ที่นี้ได้พบหลักศิลาจารึกแปดเหลี่ยมจารึกอักษรมอญโบราณ ส่วนด้านหน้าเป็นศาลที่สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2496 โดยสร้างทับบนรากฐานเดิมที่สร้างไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในวิหารประดิษฐานรูปพระนารายณ์ยืนทำด้วยศิลา 2 องค์ องค์เล็กเป็นแบบเทวรูปรุ่นเก่าในประเทศไทยองค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบ ลพบุรี แต่พระเศียรเดิมหายไปภายหลังมีผู้นำเศียรพระพุทธรูปศิลาทราย สมัยอยุธยาสวมต่อไว้เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป
ในอดีตศาลพระกาฬร่มรื่นไปด้วยต้นกร่างขนาดใหญ่ขึ้นอยู่มากมายให้ร่มเงาครึ้มทั่วบริเวณ และมีฝูงลิงอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีละครแก้บนไว้บริการผู้ที่ประสงค์จะมาแก้บน ณ สถานที่นี้ มีผู้กล่าวว่าใครก็ตามที่มาเมืองลพบุรีแล้วไม่ได้ไหว้เจ้าพ่อพระกาฬแล้วถือเสมือนว่าไม่ได้ไปเยือนเมืองลพบุรี
ศาลพระกาฬยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงทุกวันนี้
ลิงศาลพระกาฬ
ลิงศาลพระกาฬหรือลิงเจ้าพ่อ หรือลิงลพบุรี เป็นกลุ่มลิงที่อยู่รวมกันเป็นฝูงประมาณ 500 ตัว ลิงเหล่านี้ได้มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ลิงกลุ่มใหญ่เป็นลิงประจำศาลพระกาฬที่มีชีวิตและกิจกรรมในช่วงเวลากลางวันคอยต้อนรับผู้ มาเยือน อยู่ในบริเวณศาลพระกาฬ และใช้เวลาช่วงเช้าและเย็นอยู่ในพื้นที่บริเวณเทวสถานปรางค์สามยอดและพื้นที่มุมสนามของโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ในยามค่ำจะพากันรวมฝูงกลับมานอนที่ศาลพระกาฬ ลิงกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี มีผู้เลี้ยงดูและมีผู้นำอาหารมาเลี้ยงเพื่อเป็นการเซ่นไหว้ แก้บนตามความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อศาลพระกาฬอยู่เสมอ ชาวบ้านจะเรียกลิงกลุ่มนี้ว่า " ลิงเจ้าพ่อ " หรือ " ลิงศาลพระกาฬ " ลิงเหล่านี้ จะมีผู้นำฝูงซึ่งเป็นลิงที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับในฝูง
2. ลิงกลุ่มเล็กๆอีกกลุ่มหนึ่งแตกหลงฝูงออกไปและไม่ได้รับการยอมรับกลับเข้าฝูง จะมีชีวิตเร่ร่อนอยู่บริเวณนอกศาล ตามทางเท้าหรือชายคาร้านค้า บ้านเรือนในเขตชุมชนเมืองลพบุรี เป็นกลุ่มลิงที่สร้างปัญหาความเสียหายและความเดือดร้อนให้กับผู้อยู่อาศัย และผู้สัญจรไปมา บางคนเรียกลิงกลุ่มนี้ว่าลิงนอกศาล ลิงตลาด หรือลิงจรจัด
2023 © Thepsatri Rajabhat University