สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
แหล่งโบราณคดีบ้านพรหมทินใต้
บ้านพรหมทินใต้ หมู่ที่ 11 ตำบลหลุมข้าว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
การศึกษาแหล่งโบราณคดีพรหมทินใต้เริ่มเมื่อปีพ.ศ. 2529 โดยกรมศิลปากร ได้เข้ามาทำการสำรวจเมืองโบราณในเขตจังหวัดลพบุรี ซึ่งได้พบเมืองโบราณหลายแห่งรวมไปถึงเมืองโบราณบ้านพรหมทินใต้ จากการสำรวจครั้งนั้นพบหลักฐานประเภทเศษภาชนะดินเผาตั้งแต่เนื้อธรรมดาจนถึงเนื้อแกร่ง ไม่มีการตกแต่งมากนัก(สันนิษฐานว่าภาชนะผลิตขึ้นในชุมชน) และยังพบเครื่องถ้วยแบบจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง ภาชนะรูปแบบไหขอม เครื่องเคลือบจากกลุ่มเตาศรีสัชนาลัย รวมทั้งยังพบบันทึกภาษาบาลี อักษรปัลวะ(พุทธศตวรรษที่ 11-12) และอักษรหลังปัลวะ(พุทธศตวรรษที่ 13)
พ.ศ. 2534 กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นภายในวัดพรหมทินใต้ บริเวณด้านข้างพระอุโบสถหลังเก่าโดยได้ทำการบูรณะพระอุโบสถหลังเก่า ซึ่งเป็นพระอุโบสถในสมัยอยุธยา
พ.ศ. 2547 ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้นำนักศึกษาพร้อมด้วยคณะอาจารย์มาทำการขุดค้นภาคสนาม โดยขุดค้นบริเวณด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถหลังเก่าวัดพรหมทินใต้ และได้มีการดำเนินการขุดค้นต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย 'โบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายขอบของภาคกลาง : กรณีศึกษาแหล่งโบราณคดีในเขตที่สูงของจังหวัดลพบุรี' ซึ่งมี ผศ.ดร.ธนิก เลิศชาญฤทธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการวิจัย
พ.ศ. 2550 ได้มีการดำเนินการขุดค้นวิจัยต่อโดย ผศ.ดร.ธนิก เลิศชาญฤทธ์ และคณะวิจัย ซึ่งทำการขุดค้นเพิ่มเติมได้พบหลุมฝังศพมนุษย์มี โครงกระดูกมนุษย์ และแม่พิมพ์สำหรับผลิตทองแดง(ขนาดเล็ก)
จากการสำรวจและการขุดค้นอย่างเป็นระบบในแหล่งโบราณคดีพรหมทินใต้ รวมทั้งการตรวจสอบโบราณวัตถุเช่น เหรียญทวารวดี จารึก ที่มีชาวบ้านนำมามอบให้ และจากการศึกษาชั้นดิน พอสรุปได้ว่ามี 3 สมัยดังนี้
สมัยที่ 1 เป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ซึ่งรวมถึงยุคสำริดตอนปลายและยุดเหล็ก หลักฐานที่พบได้แก่โครงกระดูกมนุษย์ สิ่งที่พบร่วมกับโครงกระดูก เช่น ภาชนะดินเผารูปทรงต่างๆ (เกือบทั้งหมดมีการตกแต่งผิวด้วยการขัดมัน) เครื่องมือเหล็ก กำไรสำริด ลูกปัด แวดินเผา เป็นต้น หลักฐานเหล่านี้พบอยู่ในชั้นดินล่างสุดเท่าที่มีการขุดค้นในขณะนั้น จากการกำหนดอายุเคลือบฟันสุนัขซึ่งพบรวมกับโครงกระดูกมนุษย์อยู่ระหว่าง 2,500-3,000 ปีมาแล้ว
สมัยที่ 2 เป็นช่วงที่มีการใช้พื้นที่ต่อเนื่องยาวนานที่สุด ชั้นดินหนาเฉลี่ยประมาณ 100 เซนติเมตร เป็นชั้นที่วางตัวอยู่ถัดขึ้นมาจากชั้นดินก่อนสมัยประวัติศาสตร์ตอนปลาย หลักฐานที่พบจากการขุดค้นมีหลากหลายเช่น ภาชนะดินเผาแบบต่างๆ โดยเฉพาะภาชนะแบบมีสัน ลูกปัดแก้ว เบี้ยดินเผา ชิ้นส่วนพวยกา หินดุ ฯลฯ (ราวพุทธศตวรรษที่ 11-13) นอกจากนี้ยังมีการค้นพบเหรียญตามแบบทวารวดี และจารึกภาษาบาลี กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-12
สมัยที่ 3 หลักฐานที่พบได้แก่ ซากโบราณสถานก่อด้วยอิฐ(อุโบสถและเจดีย์) เครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกร่ง เครื่องถ้วยสังคโลก เครื่องถ้วยจีนและเครื่องเคลือบสีน้ำตาลแบบสุโขทัย เป็นต้น สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19-22
เมืองโบราณบ้านพรหมทินใต้ ถูกสร้างซ้อนทับลงบนเมืองสมัยโบราณสมัยทวาราวดี เมืองพรมทินใต้ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ตัวโบราณสถานอยู่ตรงกลาง มีลำน้ำโพนทองไหลผ่านทางทิศตะวันออก เนินดินปลูกไร่พริกและไถปรับทำการเกษตร ปัจจุบันคงเหลือร่องรอยแนวอิฐทางทิศใต้ เเละคูเมืองเดิมบ้างทางทิศตะวันออก ราษฎรส่วนใหญ่มีเชื้อสายลาว ซึ่งอพยพมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้ามาตั้งถิ่นฐานประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว ต่อมาได้สร้างวัดและโบสถ์ทับลงไปบนซากโบราณเดิม ภายหลังถูกไฟไหม้จนหมดจึงได้สร้างอาคารไม้สังกะสีขึ้นแทน ในปี พ.ศ. 2543 หน่วยศิลปากรที่ 1 ลพบุรี ได้ทำการขุดแต่งตัวเนินดิน พบว่าโบราณสถานแห่งนี้ี่เป็นพระอุโบสถ์ในสมัยอยุธยา ซึ่งสร้างทับลงไปบนโบราณสถานสมัยทวาราวดี ด้านหลังพระอุโบสถพบแนวอิฐและฐานพระสถูปสมัยทวาราวดี ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพระเจดีย์รายอีก 3 องค์ ซึ่งสร้างในสมัยอยุธยาและใต้ฐานพบฐานเสมาเดิม 5 ฐาน ใบเสมา พระพุทธรูปหินทราย ภาชระดินเผา กระปุก ขวด แจกันเคลือบสีน้ำตาล เศษกระเบื้อง กาบกล้วย กระปุกสังคโลก บ้านพรหมทินใต้ จึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาพัฒนาเป็นชุมชนเมืองสมัยประวัติศาสตร์ที่มีการสร้างคูน้ำคันดินล้อมรอบ รับอิทธพลวัฒนธรรมอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่ 11-16 ได้พบจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลีและสันสกฤต เหรียญเงิน ลูกปัด เป็นต้น และนอกจากนี้ยังมีการขุดค้นพบโคลงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์บริเวณด้านหลังโบราณสถานแห่งนี้และพบหลักฐานต่างๆ เช่น เศษภาชนะดินเผา แหวน ลูกปัด กำไล และหยก กระูดูุกสัตว์ที่ฝังไปกับศพ
วัดพรหมทินใต้ นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดลพบุรี มีสถานที่น่าสนใจ 3 แห่งในสถานที่เดียว เช่น
»» หลุมขุดค้นทางโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกในหลุมสำรวจที่มีความลึกประมาณ 5-6 เมตร
»» โบราณสถานเมืองเก่าพรหมทิน
»» พิพิธภัณฑ์วัดพรหมทินใต้ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บและรวบรวมวัตถุโบราณชนิดต่างๆ ที่ขุดค้นพบ ในสถานที่แห่งนี้มากกว่า 300 ชิ้น และวัตถุโบราณที่สำคัญที่สุดของวัด เป็นพระพุทธรูปที่ทรงคุณค่ามีพุทธลักษณะที่งดงามที่มีไม่กี่องค์ในประเทศไทยคือ "พนัสบดี" หรือมีชื่อเต็มว่า "พระพนัสบดี ศรีทวารวดี"
การเดินทางใช้เส้นทางเริ่มจากตัวเมืองลพบุรี ถนนพหลโยธินสายลพบุรี-โคกสำโรง จะผ่านบ้านสระพานนาคและบ้านสระพานจันทร์ เมื่อใกล้ถึงจะเห็นภูเขาเตี่ยๆ ชื่อว่า 'เขาทับควาย' เป็นภูเขาที่มีตำนานเกี่ยวกับเมืองลพบุรี และซ้ายมือจะมีป้ายบอกทางไปบ้านพรหมทินใต้ เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร จะถึง วัดพรหมทินใต้สำหรับผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมการขุดค้นและศึกษาแหล่งโบราณคดีบ้านพรหมทินใต้ สามารถเยี่ยมชมได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และหากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะกรุณาติดต่อ คุณสุวรรณ์ ตรีทศ โทร.081-2547586 หรือผู้ใหญ่ สมควร แย้มชุมพร โทร.087-1178579 หรือ ผศ.ดร.ธนิก เลิศชาญฤทธิ์ โทร.089-4808413
แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว
![]() |
|
||
![]() ![]() ![]() |
»»» แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว อยู่หมู่บ้านโป่งมะนาว ตำบลห้วยขุนราม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
อยู่ห่างจากตัวอำเภอพัฒนานิคมไปทางทิศตะวันออกประมาณ 45 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ดอน ลักษณะเป็นลอนลูกคลื่นเชิงภูเขา มีลำห้วยสวนมะเดื่อเป็นทางน้ำธรรมชาติที่สำคัญและเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ชุมชนบ้านโป่งมะนาวร่วมกับคณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นตั้งแต่ พ.ศ. 2543-2545 แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาวเป็นถิ่นฐานที่อยู่อาศัยและสุสานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ติดต่อกัน 2 ช่วง
แหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค
»»» แหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค อยู่ในตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
หลักฐานจากบ้านท่าแค เป็นชุมชนโบราณในที่ราบภาคกลางตอนล่าง หมู่บ้านมีขนาดใหญ่อยู่ในเขตตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ห่างจาก ตัวเมืองไปทางทิศเหนือ ประมาณ 6 กม. พื้นที่ส่วนที่พบหลักฐานทางโบราณคดี อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านและโรงเรียนท่าแค เจ้าหน้าที่ของหน่วยศิลปากรที่ 1 ลพบุรี และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี ได้สำรวจเบื้องต้นที่บ้านท่าแค เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2522 และทำการขุดค้นครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ต่อมามีการขุดค้นอีกครั้งหนึ่งระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2526 ในครั้งหลังนี้เป็นการขุดค้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
โดยสรุปคือ ได้จัดแบ่งชั้นวัฒนธรรมของแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค ออกเป็น 3 สมัย โดยจัดเรียงลำดับตามลักษณะการทับถมจากชั้นดินบนสุดลงไปดังนี้ ท่าแคสมัยที่ 3 ท่าแคสมัยที่ 2 ท่าแคสมัยที่ 1 (สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ถ้ามีหลักฐานเพิ่มเติม)
ท่าแคสมัยที่ 1 หลักฐานของการอยู่อาศัยสมัยที่ 1 ประกอบด้วยหลุมฝังศพ เศษภาชนะดินเผา ขวานหินขัด กำไลและลูกปัดหิน ลูกกระสุนดินเผา เศษกำไลสำริด และกระดูกสัตว์ชนิดต่างๆ หลักฐานประเภทต่างๆ เป็นสิ่งของสามัญที่พบเสมอในแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ระดับหมู่บ้านเกษตรกรรมในประเทศไทย ดังนั้นจึงเชื่อว่าคนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งที่บ้านท่าแคเป็นชนก่อนประวัติศาสตร์ที่ทำการเพาะปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ พบเปลือกหอยประเภทหอยขม หอยโข่ง และก้างปลาจำนวนมากที่ทับถมปนอยู่กับโบราณวัตถุประเภทอื่นๆ
ท่าแคสมัยที่ 2 พบภาชนะดินเผาบางแบบ ผิวภาชนะสีน้ำตาลปนแดง ถึงน้ำตาลเข้ม เครื่องมือเหล็กกระจายอยู่ทั่วไป ในการขุดค้นเมื่อ พ.ศ. 2526 ได้พบหลุมฝังศพมีเครื่องเหล็กวางอยู่รวมกับโครงกระดูกคนที่มีขันสำริดคว่ำอยู่ที่กระโหลกศีรษะ และหลักฐานแสดงถึงการผลิตทองแดงขึ้นเองที่แหล่งนี้ คือ ตะกรันจากการถลุงที่พบมีลักษณะเป็นก้อนไม่ใหญ่นัก เนื้อละเอียดและวาวแบบแก้ว
การผลิตทองแดงเป็นกิจกรรมที่สำคัญของแหล่งโบราณคดีแถบนี้เพื่อสนองต่อความต้องการสำริดของชุมชนอื่น ในการผลิตทองแดงเพื่อทำสำริด จะพบว่าต้องมีความร่วมมือของผู้ทำงานเฉพาะด้านหลายคน เช่น คนทำเหมืองทองแดง, ช่างถลุง, ผู้สนับสนุนด้านเชื่อเพลิง ถือถ่าน(ไม่ใช่ไม้ฟืน), จนถึงผู้ผลิตดีบุกและผู้นำดีบุกมายังแหล่งโบราณคดีแถบนี้ ในการติดต่อแลกเปลี่ยนที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบและพัฒนา
ท่าแคสมัยที่ 3 พบโบราณวัตถุหลายประเภท ประเภทที่เห็นได้ชัดว่าเหมือนตามแหล่งโบราณคดีที่อื่นคือ มีคูน้ำ คันดินล้อมรอบ โบราณวัตถุได้แก่ ลูกปัดทองคำ (เหมือนที่อู่ทอง), ชิ้นส่วนตุ๊กตาดินเผา, ตะกั่วทำเป็นห่วงกลม, ตะกั่วแบบม้วนเป็นแท่ง, ลูกปัดหินแก้วสีต่างๆ, ต่างหูหินสีเขียว, นอกจากนี้ในการขุดค้นเมื่อพ.ศ. 2526 ที่ท่าแคได้พบเหรียญเงิน 2 เหรียญ
ในระดับเริ่มต้นของชั้นดินที่อยู่อาศัยสมัยที่ 3 มีกองเปลือกหอย และก้างปลาปนอยู่กับโบราณวัตถุอื่นๆ (ลักษณะการทับถมเหมือนกองเปลือกหอยที่พบในระดับเริ่มแรกของสมัยที่ 1) สมัยที่ 3 ชุมชนนี้ มีขนาดใหญ่กว่าสมัยแรกมาก กล่าวคือ ในสมัยแรกชุมชนตั้งอยู่เฉพาะส่วนหนึ่งของเนินและเป็นชุมชนขนาดเล็ก แต่ในสมัยที่ 3 ขนาดของชุมชนใหญ่จนต้องขยายออกจากครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเนินท่าแค
»»»»»» การกำหนดอายุแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค โดยการกำหนดอายุด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ข้อมูลเกี่ยวกับอายุที่ได้มาโดยการเปรียบเทียบกับหลักฐานจากแหล่งโบราณคดีอื่นๆ
โบราณวัตถุ
โบราณวัตถุบางชิ้นที่ได้จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2526 พบจำนวนมาก เช่น ภาชนะดินเผา ลูกปัดดิน แก้ว เครื่องประดับอื่นๆ ทำด้วยหินและสัมฤทธิ์ เครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยหินและสัมฤทธิ์ เหล็ก เช่น ขวานหินขัด ขวานเหล็ก ขวานสัมฤทธิ์ และพบสิ่งต่างๆ อีกมาก ในที่นี้ได้เลือกโบราณวัตถุ 3 ชิ้น ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นโบราณวัตถุสมัยประวัติศาสตร์ของชุมชนโบราณบ้านท่าแคแล้ว ซึ่งนายสุรพล นาถะพินธุ กำหนดชื่อว่าเป็นท่าแคสมัยที่ 3 ที่มีอายุราว 1,500 ถึง 1,400 ปีมาแล้ว
เหรียญตราช้าง
พบจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค วันที่ 30 กรกฎาคม 2526 เหรียญทำจากโลหะ อาจเป็นส่วนผสมระหว่างตะกั่วและเงิน เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.8 ซ.ม. น้ำหนัก 17 กรัม
สัญลักษณ์บนเหรียญ
ด้านหน้า ประทับตรา(หล่อ) เป็นรูปช้างกำลังเดิน งวงชูขึ้นที่ปลายงวงจับกิ่งไม้(ชูขึ้น)
ลาวหล่มบ้านท่าแค
การตั้งชุมชนชาวบ้านท่าแค บ้านท่าแคเป็นชื่อหมู่บ้านหนึ่งที่เรียกตนเองว่า "ลาวหล่ม" ตั้งอยู่ในเขต ตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร บรรพบุรุษชาวท่าแคเล่าว่า ชาวบ้านอพยพหนีสงครามจากเวียงจันทน์ มาอยู่ที่วัดสามจีน(วัดสนามไชย) ใกล้แม่น้ำลพบุรี คนลาวไม่คุ้นกับการข้ามเรือ จึงย้ายมาอยู่ที่โคกลาว(ใกล้ห้วยมูล) ต่อมาเกิดน้ำท่วมจึงอพยพมาอยู่ที่ท่าแคเป็นพื้นที่สูง เรียกกันว่า "โคกท่าแคหรือโคกแม่หม้ายเศรษฐี" (ประวัติชื่อท่าแค เพราะแต่ก่อนมีต้นแคขนาดใหญ่และบริเวณดังกล่าวเป็นท่าเรือ เรียกว่า "ท่าแค" ) การอพยพมาอยู่โดยมีปู่ขุนทิพย์ ย่าหมอ และย่าปลัด เป็นผู้นำมา
วัฒนธรรมพื้นบ้าน
วัฒนธรรมพื้นบ้านเช่นเดียวกับทางอีสานทุกอย่าง จะต่างกันที่ภาษาผิดเพี้ยนออกไปเป็นสาเหตุให้เรียกตัวเองว่าลาวหล่มก็เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ลาวอีสาน ลาวที่นี่เรียกจังหวัดขอนแก่นและบริเวณแถบนั้นว่าเมืองนอก ประเพณีพื้นบ้านจะเหมือนกับทางอีสาน แต่ประเพณีดั้งเดิมสูญหายไปมาก วัฒนธรรมพื้นบ้านชุมชนท่าแคมีดังนี้
เหรียญตราภัทรบิฐ(บัลลังก์) หรือ ฑมรุ(กลอง)
พบจากขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค วันที่ 20 พฤษภาคม 2526
ทำจากโลหะ(เงิน) เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.1 ซ.ม. น้ำหนัก 3 กรัม
สัญลักษณ์บนเหรียญ
ด้านหน้าเป็นตรารูปกากบาทอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม
ด้านหลังเป็นรูปอักษร
เหรียญตราช้าง
พบจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค วันที่ 30 กรกฎาคม 2526
เหรียญทำจากโลหะ อาจเป็นส่วนผสมระหว่างตะกั่วและเงิน เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.8 ซ.ม. น้ำหนัก 17 กรัม
สัญลักษณ์บนเหรียญ
ด้านหน้า ประทับตรา(หล่อ) เป็นรูปช้างกำลังเดิน งวงชูขึ้นที่ปลายงวงจับกิ่งไม้(ชูขึ้น)
ตะเกียงดินเผา
เป็นตะเกียงดินเผาสภาพสมบูรณ์พบจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค วันที่ 27 กรกฎาคม 2526 ตะเกียงทำจากดินเผาเคลือบน้ำดินสีแดง สูง 2.8 ซ.ม. ยาว 8 ซ.ม. แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
»» ส่วนที่เป็นรูกลมสำหรับใส่น้ำมัน ทำขึ้นโดยวิธีใช้แป้็นหมุน
»» ส่วนที่เป็นจงอยปากยื่นออกไปคล้ายพวยกา เป็นส่วนที่ถูกนำมาแปะติดไว้
ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ได้แก่ การไว้จุก, บวช, แต่งงาน, คลอดลูก, แอบขวัญ, สูดธาตุใหญ่(การเสี่ยงทายเป็นหรือตาย)่, การทำศพ และงันเฮือนดี(การพบปะกันที่บ้านที่มีงานศพ)
ประเพณีเนื่องในเทศกาล ได้แก่ เรียกขวัญข้าว, สงกรานต์, ทำบุญกลางบ้าน, พิธีเสียเคราะห์, เทศน์มหาชาติ, จุดไต้สังฆทีป, สารท, ออกพรรษา, กวนข้าวทิพย์ และแห่นางแมว
ความเชื่อ
»» ลาวหล่มบ้านท่าแคมีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษ ซึ่งเรียกว่า "ผีเรือน และ ผียาย" โดยมีกระดูกปู่ย่าตายายอยู่ในบ้าน
»» ภายในหมู่บ้านก็มีเจ้าพ่อหลวงชาวบ้านให้ความศรัทธามาก ศาลเจ้าพ่อหลวงอยู่ใกล้กับวัดท่าแค
»» หลวงพ่อปุ้ง(พระภิกษุ) ที่ชาวบ้านนับถือมาก มีรูปปั้นของท่านอยู่หน้าโบสถ์ วัดท่าแค
การละเล่น ได้แก่ เสือกินวัว, ดึงหนัง, ต่อไก่, แทงคี่แทงคู่หรือตบโบก, ผ่านตาเว็น และติ๊ดติ่ง
เมืองดงมะรุม
»»» เมืองดงมะรุม อยู่ที่บ้านดงมะรุม ตำบลดงมะรุม อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
เมืองดงมะรุมเป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำ คันดินรอบลอบ มีอายุเก่าแก่อย่างน้อยตั้งแต่ราว พุทธศตวรรษที่ 12 และยังคงสภาพแวดล้อมโบราณสถานที่ดีอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพโบราณสถาน เมืองดงมะรุมที่ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีอย่างน้อย 2 สมัย คือ
ในปัจจุบันเมืองดงมะรุมแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพดี คือ มีคูเมืองและมีคันดินล้อมรอบสูง รวมทั้งได้มีการขุดค้น ดำเนินการศึกษาเมืองดงมะรุมจนเป็นแหล่งการศึกษา
หลักฐานวัฒนธรรมของชาติ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานขวานหินขัดชนิดต่างๆ เช่น ขวานแบบมีบ่าและแบบไม่มีบ่า อายุประมาณ 3,000 ปี
2. สมัยประวัติศาสตร์ยุคที่ 1 (สมัยทวารดี) อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 14 พบหลักฐานเป็นจำนวนมาก คือ
»» หลักฐานที่เกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ ได้แก่ พระพิมพ์รูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธินาคปรก
»» หลักฐานเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ ได้แก่ แท่นหินบด เศษภาชนะดินเผา เช่น หม้อ ชาม คนโท กาน้ำ ลูกกระสุนดินเผา แวดินเผา เครื่องประดับ เช่น ลูกปัดหิน ลูกปัดแก้ว กำไลโลหะ ผนึกตราดินเผาเป็นรูปที่ไม่ชัดพบที่เมืองดงมะรุม 1 ชิ้น ปัจจุบันเป็นสมบัติของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี และจารึกบนแท่นหิน
»» หลักฐานโลหกรรม ได้พบขี้แร่เหล็ก (Slag) จำนวนหนึ่ง ผู้ที่อาศัยที่เมืองดงมะรุมคงจะ มีกิจกรรมของโลหกรรมในอดีต
เมืองซับจำปา
เมืองโบราณซับจำปาอยู่ทางทิศเหนือของ "ป่าจำปีสิรินธร" เส้นทางการท่องเที่ยวภายในตำบลซับจำปามีดังนี้
ชื่อ"ซับจำปา" ในอดีตบริเวณนี้มีต้นจำปาสักขนาดใหญ่ จำนวนมากขึ้นในบริเวณที่มีน้ำซับพุขึ้นมาจากใต้ดิน เมื่อดอกร่วงลงมาจะมีกลีบสีเหลืองและมีขนาดใหญ่
ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นต้นจำปาบริเวณนี้ จึงถูกเรียกว่า "ซับจำปา"
เมืองโบราณซับจำปาตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 7 บ้านคูเมือง ตำบลซับจำปา อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่บนเนินดินสูงขอบที่ราบภาคกลางที่ติดต่อกับที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประวัติความเป็นมา เมืองโบราณซับจำปา หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบที่เมืองซับจำปาเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีอายุประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว ต่อมาได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากอินเดีย เช่น ศาสนา วิถีความเชื่อ อักษร ภาษา การปกครองนั้นคงจะเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นใหญ่ เพราะจารึกภาษาสันสกฤตที่ค้นพบกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้นำ จากหลักฐานทางโบราณคดีอาจกำหนดได้ว่าเมืองซับจำปาเป็นชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่มาจนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 แล้วจึงถูกทิ้งร้างไป เพราะเหตุว่าไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีอื่นใดที่มีอายุหลังพุทธศตวรรษที่ 15
ลักษณะรูปร่างเมืองโบราณซับจำปา เป็นมีคูน้ำกว้างลึก และมีคันดินกำแพงสูงล้อมรอบเมือง ผังเมืองเป็นรูป "วงกลมรีคล้ายรูปหัวใจ" เมืองชนิดไม่มีรูปแบบหรือเป็นรูปอิสระ วัดขนาดความกว้างจากทิศเหนือไปทิศใต้ 834 เมตร จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกประมาณ 704 เมตร เมืองนี้มีกำแพงดินสูง 2 ชั้น มีคูเมืองลึก ตรงกลางกำแพงเป็นดินอัดแน่นสูงประมาณ 10 เมตร จาก พื้นคูเมือง คูเมืองกว้างประมาณ 16 เมตร ภายในเมืองมีเนินดิน 3 เนินมีเศษอิฐซึ่งเข้าใจว่าเป็นซากโบราณสถาน นอกเมืองมีสระน้ำ 1 สระ
สิ่งที่พบเป็นหลักฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ กำไลหิน แกนกำไลทำด้วยหินมาร์ล เศษภาชนะดินเผา และของยุคสมัยทวารวดีได้แก่ ชิ้นส่วนพระพุทธรูป ประติมากรรมรูปกวางหมอบ ชิ้นส่วนธรรมจักร ตุ๊กตาดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับที่เป็นโลหะสัมฤทธิ์ จารึก 5 ชิ้น เส้นทางเข้าสู่เมืองซับจำปา ฯลฯ
2023 © Thepsatri Rajabhat University