สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
การประกอบอาชีพ ประชากรกว่าร้อยละ 70 ยังคงยึดอาชีพด้านเกษตรกรรม มีพื้นที่เพาะปลูกมากถึง 1,570,373 ไร่ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ทำนา 773,058 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด เป็นพื้นที่ทำไร่ประมาณ 753,004 ไร่ พืชไร่ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ข้าวโพด ฝ้าย มันสำปะหลัง อ้อย น้ำตาล ถั่วเขียว ถั่วลิสง ถั่วเขียวผิวมัน และละหุ่ง นอกจากนั้นเป็นพื้นที่ทำสวนประมาณ 64,311 ไร่ โดยกระจายอยู่ในเขตพื้นที่ราบลุ่ม ส่วนที่เหลือประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ ค้าขาย รับจ้างในการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ย่อยหิน พาณิชย์การบริการ และการขนส่ง
การประกอบอาชีพด้านอุตสาหกรรมที่มีอยู่สามารถแบ่งตามลักษณะการผลิตได้เป็น 5 ประเภท
ความรู้เกี่ยวกับ อบต.
ความรู้เกี่ยวกับองค์การบริหารส่วนตำบล อบต.
สภาตำบล พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 กำหนดพื้นที่ตำบล ตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ ส่วนที่อยู่นอกเขตเทศบาล และสุขาภิบาล มีสภาตำบลเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารงานในตำบลมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการก่อนิติสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และมีความสามารถ ในการจัดทำโครงการและงบประมาณด้วยตนเอง ปัจจุบันมีสภาตำบลนิติบุคคล จำนวน 567 แห่ง
สภาตำบลมีโครงสร้างที่เป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการ ดังนี้
1. สมาชิกสภาตำบลโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้านของทุกหมู่บ้านในตำบลและแพทย์ประจำตำบล
2. สมาชิกสภาตำบล ซึ่งได้รับเลือกตั้งจากราษฎรในแต่ละหมู่บ้านในตำบลนั้น หมู่บ้านละ 1 คน
กำนันมีตำแหน่งเป็นประธานสภาตำบลโดยตำแหน่ง มีรองประธานสภาตำบลคนหนึ่ง ซึ่งมาจากสมาชิกสภาตำบลตามมติของสภาตำบล และมีเลขานุการสภาตำบลคนหนึ่ง ซึ่งสภาตำบลเลือกจากข้าราชการที่ปฏิบัติงานในตำบลนั้น หรือจากบุคคลอื่นตามมติของสภาตำบลแล้วเสมอให้นายอำเภอแต่งตั้ง
อำนาจหน้าที่ของสภาตำบล พัฒนาตำบลตามแผนงานโครงการงบประมาณของสภาตำบล เสนอแนะส่วนราชการในการบริหารราชการและพัฒนาตำบล ปฏิบัติหน้าที่ของ คณะกรรมการตำบลตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ (พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457) และหน้าที่อื่น ตามที่กฎหมายกำหนด (ม.23) ในกรณีที่สภาตำบลจะดำเนินกิจการของตนเองนอกเขตตำบลจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด และได้รับความยินยอม จากสภาตำบล หรือหน่วยการบริหารส่วนราชการส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง และกิจการนั้นต้องมีความจำเป็น และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภาตำบลด้วย
การบริหารงานของสภาตำบล สภาตำบลบริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยมีประธานสภาตำบลเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินกิจการตามมติของสภาตำบล ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาตำบล ในการทำนิติกรรมของสภาตำบลจะต้องประกอบด้วยบุคคลสามคน คือ ประธานสภาตำบล เลขานุการสภาตำบล และสมาชิกสภาตำบลผู้รับมอบอำนาจในการทำนิติกรรมอีกคนหนึ่ง ซึ่งในการทำนิติกรรมผู้มีอำนาจทำนิติกรรมแทนสภาตำบล จะต้องลงชื่อ ให้ครบทั้งสามคน มิฉะนั้นนิติกรรมนั้นจะไม่มีผลผูกพันสภาตำบล
การกำกับดูแลสภาตำบล ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด โดยนายอำเภอ จะเป็นผู้กำกับดูแลปฏิบัติงาน ของสภาตำบลให้เป็นไปตามกฎหมาย มีอำนาจยับยั้ง การดำเนินงานของสภาตำบล ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ทางราชการไว้เป็นการชั่วคราว แล้วรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อวินิจฉัย เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับเรื่องจากนายอำเภอแล้วจะวินิจฉัยเป็น 2 กรณี กล่าวคือ หากผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นว่านายอำเภอดำเนินการถูกต้องแล้ว ก็ให้สั่งสภาตำบลระงับการดำเนินการดังกล่าวนั้น แต่หากว่าผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นว่าการดำเนินการของสภาตำบล เป็นไปโดยชอบแล้วก็ให้สั่งการเพิกถอนยับยั้งของนายอำเภอได้ นอกจากนั้นพระราชบัญญัติฉบับนี้ ยังให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด ในการยุบสภาตำบล ตามการเสนอแนะของนายอำเภอได้
องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการส่วนตำบล พ.ศ.2499 เป็นการจัดตั้งหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีการบริหารตนเอง และมีสภาตำบลทำหน้าที่ควบคุมการบริหารงานของคณะกรรมการตำบล แต่เนื่องจากขาดประสิทธิภาพในการทำงาน จึงถูกยกเลิกไป
ในปี พ.ศ.2515 รัฐบาลเห็นว่าควรจะมีการปรับปรุงรูปแบบการจัดการบริหารของตำบลให้มีประสิทธิภาพและเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศ สภาตำบลจึงไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงขาดอิสระในการทำงานประชาชนไม่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมกับการดำเนินงานของสภาตำบล
จากแนวคิดกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นรัฐบาลจึงออกพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอิสระในการบริหารงานประชาชนในท้องถิ่นแล้ว ยังได้กำหนดรูปแบบการบริหารงานในตำบลที่มีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณที่ล่วงมาติดต่อกันสามปีเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท จะได้รับการจัดตั้งเป็นหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่เรียกว่า " องค์การบริหารส่วนตำบล " ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 6,397 แห่ง
ซึ่งมีส่วนร่วมในการเลือกผู้บริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีงบประมาณเป็นของตนเอง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ระบุว่าสมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระ 4 ปี คณะผู้บริหารท้องถิ่น มาจากการเลือกตั้ง โดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่น มีวาระ 4 ปี โดยไม่ต้องเป็นข้าราชการ ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
โครงสร้างขององค์การบริหารส่วนตำบล แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. สภาองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วยสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวนหมู่บ้านละ 2 คน ซึ่งเลือกตั้งขึ้นโดยราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละหมู่บ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนั้น (มาตรา 45) ซึ่งได้แก้ไขแล้วโดย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542
ไม่มีการแต่งตั้งสมาชิกโดยตำแหน่งอีกต่อไป ถ้าเขต อบต. ใดมีเพียง 1 หมู่บ้าน ให้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเพียง 6 คน ถ้ามีเพียง 2 หมู่บ้าน ให้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่บ้านละ 3 คน มีอายุอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง
หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (มาตรา 45 วรรค 3 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542)
สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีประธานสภาหนึ่งคน รองประธานสภาหนึ่งคน ซึ่งเลือกจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ให้นายอำเภอแต่งตั้งตามมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ทั้งสองตำแหน่งอยู่ในวาระได้เพียง 2 ปี (มาตรา 48 และ 49)
สภาองค์การบริหารส่วนตำบลเลือกสมาชิกคนหนึ่งเป็นเลขานุการสภาองค์การ (มาตรา 57) ส่วนเลขานุการของคณะกรรมการบริหาร อบต. นั้นกฎหมายกำหนดให้เป็นปลัด อบต. (มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542)
2. คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล
ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พศ.2537 ประกอบด้วยกรรมการ ซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งตามมติ ของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจากกำนัน และจากผู้ใหญ่บ้านไม่เกินสองคน และจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งได้รับเลือกตั้งไม่เกินสี่คน คณะกรรมการบริหารส่วนตำบล มีประธานกรรมการบริหารคนหนึ่ง เลือกจากกรรมการบริหารด้วยกัน แต่ในบทเฉพาะกาล กำหนดให้กำนัน เป็นประธานกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลโดยตำแหน่ง ในระยะเวลา 4 ปีแรกที่ใช้พระราชบัญญัตินี้ (จนถึงงันที่ 2 มีนาคม 2542)
แต่ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดให้คณะกรรมการ บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วยประธานกรรมการบริหารคนหนึ่งและกรรมการบริหารจำนวนสองคน ซึ่งสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลือกจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแล้วเสนอให้นายอำเภอแต่งตั้ง (มาตรา 58) ให้ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นเลขานุการคณะกรรมการบริหาร (มาตรา 58 วรรค 2)
การกำกับดูแลองค์การบริหารส่วนตำบล อบต.มีฐานะเป็นหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ที่นับว่าเป็นการกระจายอำนาจทางการบริหาร และการตัดสินใจ ไปสู่องค์กร ระดับตำบลและประชาชน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ดำเนินงานขององค์การบริหารส่วนตำบล เป็นไปในทางที่ถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมายระเบียบ และข้อบังคับ ของทางราชการ จึงให้นายอำเภอเป็นผู้ดูแลการปฏิบัติงานขององค์การบริหารส่วนตำบล และมีอำนาจเรียกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล กรรมการบริหารพนักงานส่วนตำบล และลูกจ้างขึ้นมาชี้แจงหรือสวบสวน รวมทั้งเรียกรายงาน หรือเอกสารใดๆ มาตรวจสอบได้ และให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบล หรือให้คณะกรรมการบริหารทั้งคณะ หรือกรรมการ บริหารรายบุคคลพ้นจากตำแหน่งได้ตามคำเสนอของนายอำเภอ
โครงสร้างองค์การบริหารส่วนตำบล
ตามพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหาร องค์การบริหารส่วนตำบล
1. จัดทำแผนพัฒนาตำบลและงบประมาณรายจ่ายประจำปี
2. บริหารกิจการของ อบต. ให้เป็นไปตามมติ ข้อบังคับและแผนพัฒนาตำบล
3. รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณต่อสภา อบต.อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
4. ปฎิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่ราชการมอบหมาย
อำนาจหน้าที่ของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
1. ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาตำบล
2. พิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างข้อบังคับตำบลและร่างข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายประจำปี
3. ควบคุมการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารให้เป็นไปตามนโยบายและแผนพัฒนาตำบล
อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล
1. จัดให้มีการบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก
2. รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะ
3. ป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ
4. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
5. ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรม
6. ส่งเสริมและพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สงอายุ และผู้พิการ
7. คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
8. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมาย
ความรับผิดชอบการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบล คณะกรรมการบริหารองค์การส่วนตำบลจะรับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล โดยประธานกรรมการบริหาร จะเป็นผู้แทนขององค์การบริหารส่วนตำบลและมีพนักงานส่วนตำบลเป็นผู้ปฏิบัติงานประจำขององค์การบริหารส่วนตำบลอีกด้วย
รายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบล
1. ประเภทแรก คือ ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรียนและที่ดิน ภาษีป้าย อากรฆ่าสัตว์ ค่าภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต และค่าปรับต่างๆ และรายได้จากทรัพย์สิน สาธารณูปโภคและการพาณิชย์ขององค์การบริหารส่วนตำบลเอง
2. ประเภทที่สอง เป็นรายได้ซึ่งหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่จัดเก็บให้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีสุรา ภาษีสรรพสามิต และค่าใบอนุญาตเล่นการพนัน เก็บให้จากภาษีรถยนต์ และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อน และจัดสรรหรือแบ่งให้จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ จากอากรรังนกอีแอ่น ค่าธรรมเนียมน้ำบาดาล อากรการประมง ค่าภาคกลางป่าไม้ ค่าภาคหลวงแร่ ค่าภาคหลวงปิโตเลียม ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดิน และค่าธรรมเนียมตามกฎหมายอุทยานแห่งชาติ ซึ่งรายได้จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาตินี้ ท้องถิ่นรูปอื่นจะไม่ได้รับการจัดสรรหรือแบ่งให้แต่อย่างใด
3. ประเภทที่สาม เป็นรายได้จากเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือการจัดสรรให้โดยหน่วยงานของรัฐ
รายจ่ายขององค์การบริหารส่วนตำบล เงินเดือน ค่าจ้าง เงินค่าตอบแทนอื่นๆ ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าครุภัณฑ์ ค่าที่ดิน สิ่งก่อสร้าง และทรัพย์สินอื่นๆ ค่าสาธารณูปโภค เงินอุดหนุนหน่วยงานอื่น รายจ่ายอื่นตามข้อผูกพัน หรือตามที่มีกฎหมายหรือระเบียบของกระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้
การศึกษา
จังหวัดสระบุรีจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา
ศาสนา
ประชากรในจังหวัดสระบุรีนั้น ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นับถือศาสนาอิสลามรองลง มา และนับถือศาสนาคริสต์น้อยที่สุด ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธมากว่าศาสนาอื่นๆ จำนวนทั้งหมด 470 วัด จำแนกเป็น พระอารามหลวง 3 วัด
:: ประวัติ-สภาพทั่วไป ::
ตราประจำจังหวัด
ตราประจำจังหวัดสระบุรี เป็นรูปมณฑปพระพุทธบาท หมายถึง มณฑปครอบรอยพระพุทธบาทจำลอง ที่ตั้งอยู่ ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
คำขวัญประจำจังหวัดสระบุรี
พระพุทธบาทลือนาม
แหล่งน้ำอุดม
นมเนื้อมากมาย
หลากหลายโรงงาน
ถิ่นข้าวสารพันธุ์ดี
มีมะม่วงรสเลิศ
งามบรรเจิดธรรมชาติ
ต้นไม้ประจำจังหวัดสระบุรี
ชื่อพรรณไม้ ตะแบกนา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lagerstroemai floribanda
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15 - 30 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอมขาว แตกล่อนเป็นหลุมตื้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ ดอกสีม่วงอมชมพู ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ผลรูปรี เมล็ดมีปีก
ดอกไม้ประจำจังหวัดสระบุรี
ความเป็นมาของจังหวัดสระบุรี
สระบุรีเป็นเมืองเก่าแก่ และมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16-20 แต่เพิ่งมาก่อตั้งเป็นเมืองอย่างจริงจังในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มูลเหตุแห่งการตั้งเมืองเนื่องจากต้องการใช้เป็นที่ระดมพลในยามสงคราม และดำรงสถานะเมืองมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้รับการจัดตั้งเป็นจังหวัด มีการตัดทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือและถนนมิตรภาพ หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ผ่านไปยังจังหวัดนครราชสีมา จนปัจจุบันสระบุรีได้กลายเป็นชุมทางการคมนาคมที่สำคัญของทั้งภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และจังหวัดทางแถบตะวันตก
ส่วนชื่อของเมือง มีการสันนิษฐานว่าเดิมที่ตั้งเป็นเมืองมีพื้นที่อยู่ในทำเลใกล้บึงหนองโง้ง หลังจากตั้งเป็นเมืองจึงนำเอาคำว่า "สระ" มารวมกับคำว่า "บุรี" และใช้เป็นชื่อเมือง "สระบุรี" มาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์จังหวัดสระบุรี
สมัยอยุธยา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงสันนิษฐานว่าสระบุรีเป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาราวปีพุทธศักราช 2092 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งครองราชสมบัติระหว่างปีพุทธศักราช 2091-2111
หลังว่างเว้นการสงครามมาระยะหนึ่ง เมื่อมีข้าศึกศัตรูโดยเฉพาะศึกพม่ามาประชิดติดพระนครทำให้เพลี่ยงพล้ำต่อข้าศึก จนครั้งหนึ่งต้องสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยอัครมเหสี ซึ่งปลอมตัวเป็นชายเสด็จตามทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป ณ ทุ่งลุมพลี หรือทุ่งมะขามย่อง ชานพระนครด้านทิศเหนือ
หลังเสร็จศึกพม่าคราวนั้นแล้ว ได้มีการปรึกษาข้อราชการเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการป้องกันประเทศใหม่ โดยเฉพาะปัญหาไพร่พลที่เกณฑ์เข้ามาได้น้อย ไม่เพียงพอต่อการต้านข้าศึก จึงโปรดให้จัดตั้งเมืองรอบพระนครเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ เช่น เมืองสุพรรณบุรี เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองลพบุรี และเมืองนครนายก
หัวเมืองรอบนอกเหล่านี้ เดิมได้มีการก่อกำแพงรอบเมือง เพื่อให้เป็นป้อมปราการป้องกันข้าศึกไม่ให้ตีแตกได้โดยง่าย ภายหลังเมื่อถูกศัตรูตีแตกและยึดได้ กลับกลายเป็นประโยชน์แก่ข้าศึกไป จึงได้มีการพิจารณาปรับปรุงไปในคราวเดียวกัน
สำหรับเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในคราวนั้น เฉพาะที่มีบันทึกในพระราชพงศาวดาร ได้แก่ เมืองสาครบุรี เมืองนครชัยศรี และเมืองนนทบุรี ซึ่งล้วนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางแถบตะวันตกและทิศใต้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงสันนิษฐานว่า ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็น่าที่จะมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ สำหรับเป็นที่ระดมพล เพื่อไปช่วยหัวเมืองทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกยามมีข้าศึกยกมาเช่นเดียวกัน
ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ด้านทิศตะวันออก ได้แก่ เมืองฉะเชิงเทรา ส่วนเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เมืองสระบุรี ที่สันนิษฐานเช่นนั้น เนื่องจากต่อมาไม่นานชื่อเมืองสระบุรีก็ได้ปรากฏบนหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยปรากฏครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ครั้งทรงขึ้นครองราชย์ครั้งที่ 2 หรือราวพุทธศักราช 2098 ซึ่งได้ข่าวว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือถูกพม่ายึดได้และกำลังเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้พระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงจัดไพร่พลเตรียมทัพไว้สำหรับปกป้องพระนคร ดังความตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาที่ว่า
"...อนึ่งหน้าที่ซึ่งเป็นหน้าที่กวดขัน พระเจ้าอยู่หัวก็ไว้พระยากลาโหมและพระยาพลเทพ พระมหาเทพเมืองชัยนาถ เมืองสุพรรณบุรี เมืองลพบุรี เมืองอินทรบุรี เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองนครนายก เมืองสระบุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสรรคบุรี เมืองสิงคบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองธนบุรี เมืองมฤต ทั้งนี้อยู่ประจำหน้าที่แต่ประตูหอรัตนชัย..."
ส่วนชื่อเจ้าเมืองสระบุรีได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งจัดทัพเตรียมขึ้นไปปราบประเทศกัมพูชาที่คิดไม่ซื่อต่อกรุงศรีอยุธยาตลอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าจักรพรรดิ เช่นราวพุทธศักราช 2125 ดังความในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
"...มีพระราชบริหารสั่งพระยานครนายก พระยาปราจีน พระวิเศษเมืองฉะเชิงเทรา พระสระบุรี 4 หัวเมือง ให้พระยานครนายกเป็นแม่กองใหญ่คุมพลหมื่นหนึ่งออกไปตั้งค่ายขุดคูปลูกยุ้งฉางถ่ายลำเรียงไว้ตามตำบลทำนบรักษาให้มั่นอย่าให้เสียทีแก่ข้าศึก ฝ่ายพระยานครนายก พระยาปราจีน พระยาวิเศษฉะเชิงเทรา พระสระบุรีกราบถวายบังคมลาและก็ไปทำตามพระราชบัญชาสั่ง..."
สำหรับเมืองที่ตั้งขึ้นในคราวตั้งเมืองสระบุรีล้วนเป็นเมืองที่กำหนดแต่เขตแดน ไม่ได้กำหนดที่ตั้งเมืองแน่นอนด้วยเพราะมีจุดประสงค์เพียงเพื่อความสะดวกในการระดมพลในยามสงครามเท่านั้น เหตุนี้จึงถือเอาที่อยู่ของเจ้าเมืองเป็นเกณฑ์กำหนดที่ตั้ง เจ้าเมืองย้ายไปที่ใดที่ตั้งเมืองก็ย้ายไปตามนั้น และเป็นอยู่เช่นนี้จนเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์
ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ สระบุรียังคงเป็นเมืองเปิด มีหน้าที่ระดมพลเพื่อไปช่วยทัพหลวง และหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือและฝ่ายเหนืออยู่เป็นประจำโดยเฉพาะในรัชสมัยรัชกาลที่ 1-3 ได้ยกทัพไปปราบหัวเมือง เช่น เวียงจันทน์ หลวงพระบาง และกัมพูชาที่คิดกบฏอยู่บ่อยๆ
การปกครองหัวเมืองต่างๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยานัก คือ เมืองยิ่งไกลพระนครมากเท่าไรก็มีอิสระในการปกครองตนเองมากเท่านั้น เนื่องจากการคมนาคมยังไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองเป็นไปอย่างลำบาก
จนในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้จัดระบบการปกครองส่วนภูมิภาคขึ้นใหม่เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล คือ ในเมืองหนึ่งๆ จะแบ่งการปกครองออกเป็นอำเภอ ตำบล ขึ้นอยู่ในการปกครองของเจ้าเมือง ส่วนเมืองต่างๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันก็จะจัดตั้งเป็นมณฑลขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลและปกครอง เมื่อแรกตั้งมีอยู่ 6 มณฑลต่อมาได้ตั้งเพิ่มเติมอีกหลายมณฑล สำหรับสระบุรีขึ้นอยู่ในการปกครองของมณฑลกรุงเก่า *ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงพระยศเป็นเสนาบดีมหาดไทย พระองค์ได้จัดระเบียบการปกครองเป็นแบบรวมอำนาจไว้ ณ จุดเดียว คือ ส่วนกลาง พร้อมกับเปลี่ยนระบบการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองต่างๆ หมายถึงรัฐไม่ยอมให้อำนาจการปกครองไปอยู่ที่เจ้าเมืองอีกต่อไป โดยเริ่มจัดตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช 2435 แล้วเสร็จในปีพุทธศักราช 2458 *เข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 7 ตรงกับพุทธศักราช 2476 ได้มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นแบบประชาธิปไตย และได้มีการตราพระราชบัญญัติการปกครองเป็นแบบกระจายอำนาจสู่ภูมิภาคเปลี่ยนจาการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
สำหรับเมื่อสระบุรีก็ได้จัดตั้งเป็นจังหวัดสระบุรีในคราวเดียวกันนี้เมื่อแรกศาลากลางจังหวัดตั้งอยู่ที่อำเภอเสาไห้ ต่อมาความเจริญต่างๆ ได้ย้ายมาอยู่ที่บริเวณตำบลปากเพรียว อำเภอปากเพรียว เนื่องจากได้มีการตัดทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือผ่านพื้นที่ไปยังจังหวัดนครราชสีมา ทำให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวกลายเป็นชุมทาง และชุมชนการค้า จนทางการเห็นว่า ศาลากลางน่าจะอยู่ในท้องที่ที่มีความเจริญมากกว่าจึงได้มีคำสั่งย้ายที่ตั้งศาลากลางมาอยู่ ณ ตำบลปากเพรียว ได้เปลี่ยนใหม่เป็นอำเภอเมืองสระบุรี
บริเวณที่ตั้งศาลากลางในปัจจุบันคือ ถนนเทศบาล 3 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี โดยย้ายมาจากที่เดิมเนื่องจากสถานที่คับแคบ ไม่สะดวกต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่และการบริหารประชาชน
สภาพทั่วไปของจังหวัดสระบุรี
1. สภาพทางภูมิศาสตร์
1.1 ที่ตั้งและอณาเขต
จังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3,576 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,096,000 ไร่ อาณาเขตและจังหวัดใกล้เคียงที่ติดต่อกับจังหวัดสระบุรี มีอยู่ 6 จังหวัด คือ
ทิศเหนือ | เขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอหนองโดน อำเภอพระพุทธบาทติดต่อกับจังหวัดลพบุรี |
ทิศใต้ | เขตอำเภอวิหารแดง ติดต่อกับจังหวัดนครนายก อำเภอหนองแคติดต่อจังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
ทิศตะวันออก | เขตอำเภอแก่งคอย และอำเภอมวกเหล็ก ติดต่อกับจังหวัดนครนายก และจังหวัดนครราชสีมา |
ทิศตะวันตก | เขตอำเภอหนองแค อำเภอหนองแซง อำเภอเสาไห้ อำเภอบ้านหมอ และอำเภอดอนพุด ติดต่อกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
1.2 ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพพื้นที่โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ เป็นที่ราบสูงสลับภูเขา มีป่าไม้หนาแน่นในเขตเขาสูงและ พื้นที่ราบลุ่ม จัดเป็นดินตะกอนใหม่เนื่องจากเคยเป็นทะเลมาก่อน
1.3 ลักษณะภูมิอากาศ
ส่วนสภาพอากาศของจังหวัดสระบุรีไม่แตกต่างจากจังหวัดที่อยู่ในเขตที่ราบลุ่มเดียวกันนัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ฤดูกาล คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละฤดูกาลไม่แตกต่างกันเท่าใด อุณหภูมิเฉลี่ยสูงประมาณ 34 องศาเซลเซียส และต่ำสุดประมาณ 23 องศาเซลเซียส
2. ประชากร
จำนวนประชากรของจังหวัดสระบุรี ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 มีประชากร รวมทั้งสิ้น 593,125 คน แบ่งเป็นชาย 296,280 คน และเป็นหญิง 296,855 คนสำหรับ อำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมือง มีจำนวน 112,157 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอ แก่งคอยมีจำนวน 87,048 คน และอำเภอหนองแคมีจำนวน 84,752 คน ฯลฯ
3. เขตการปกครอง
จังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ขนาดไม่กว้างใหญ่มากนัก อีกทั้งลักษณะพื้นที่ยังเป็นพื้นที่ราบเสียส่วนใหญ่ มีการคมนาคมที่สะดวกสบายทำให้ง่ายต่อการปกครองและการบริหารราชการ ทั้งนี้ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- การบริหารราชการส่วนกลาง หน่วยงานของส่วนกลางและรัฐวิสาหกิจเข้ามาตั้งที่ทำการอยู่ภายในจังหวัดกว่า 40 แห่ง
- การบริหารราชการส่วนภูมิภาค แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 13 อำเภอ 111 ตำบล 955 หมู่บ้าน อำเภอต่างๆ ได้แก่ อำเภอเมืองสระบุรี อำเภอเสาไห้ อำเภอหนองแซง อำเภอหนองแค อำเภอวิหารแดง อำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก อำเภอวังม่วง อำเภอพระพุทธบาท อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอบ้านหมอ อำเภอหนองโดน และอำเภอดอนพุด
- การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แบ่งการบริหารออกเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4 เทศบาล 17 สุขาภิบาล และ 103 องค์การบริหารส่วนตำบล
จังหวัดสระบุรี แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 อำเภอ 111 ตำบล 963 หมู่บ้าน 21 เทศบาล103 องค์การบริหารส่วนตำบล
ตารางแสดงเขตการปกครองพื้นที่จำแนกรายอำเภอ
อำเภอ
|
จำนวนตำบล และหมู่บ้านทั้งจังหวัด
|
จำนวนตำบลและหมู่บ้านในเขตอบต.
|
จำนวนเทศบาล
|
||
ตำบล
|
หมู่บ้าน
|
ตำบล
|
หมู่บ้าน
|
||
1. อำเมืองสระบุรี |
11
|
77
|
10
|
76
|
2
|
2. อำเภอแก่งคอย |
14
|
112
|
12
|
102
|
2
|
3. อำเภอหนองแค |
18
|
181
|
17
|
178
|
3
|
4. อำเภอหนองแซง |
9
|
69
|
9
|
67
|
1
|
5. อำเภอบ้านหมอ |
9
|
79
|
8
|
66
|
2
|
6. อำเภอเสาไห้ |
12
|
101
|
12
|
86
|
3
|
7. อำเภอพระพุทธบาท |
9
|
68
|
7
|
68
|
1
|
8. อำเภอวิหารแดง |
6
|
54
|
6
|
40
|
2
|
9. อำเภอมวกเหล็ก |
6
|
80
|
6
|
77
|
1
|
10. อำเภอหนองโดน |
4
|
34
|
4
|
33
|
1
|
11. อำเภอดอนพุด |
4
|
28
|
3
|
23
|
1
|
12. อำเภอวังม่วง |
3
|
31
|
3
|
29
|
1
|
13.อำเภอเฉลิมพระเกียรติ |
6
|
49
|
6
|
42
|
1
|
รวม
|
111
|
963
|
103
|
887
|
21
|
4. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
สภาพทางเศรษฐกิจ ประชากรมีรายได้ เฉลี่ยต่อหัว 127,876 บาทต่อปี เป็นอันดับ 7 ของภาคกลาง และ เป็นอันดับที่ 8 ของประเทศ โดยทั้งจังหวัดมีผลิตภัณฑ์มวลรวม 67,774,028 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม มากที่สุด ถึงร้อยละ 46.30 % คิดเป็นมูลค่า31,377,706 ล้านบาท รองลงมาเป็นสาขาเหมืองแร่ และการย่อยหิน ร้อยละ 12.27 คิดเป็นมูลค่า8,315,374 ล้านบาท และสาขาการไฟฟ้าและประปา ร้อยละ 7.73 คิดเป็นมูลค่า 5,239,929 ล้านบาท อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 10.44 (ปี 2538)
สภาพทางสังคม จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดที่มีการบริการด้านการศึกษาที่ดีพอสมควร ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงปริญญาตรี จำนวน 385 แห่ง ด้านไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์ มีบริการทั่วทุกหมู่บ้าน อย่างเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้
2023 © Thepsatri Rajabhat University