สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
ศาลากลางจังหวัดสิงห์บุรี ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตตำบลบางพุทรา ในอดีตเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 ได้ย้ายเมืองจากบริเวณลำน้ำน้อย ตำบล โพสังโฆ อำเภอค่ายบางระจัน มาตั้งใหม่ที่บริเวณฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบางมอญ (ปัจจุบัน คือ ตำบลต้นโพธิ์) และใน พ.ศ. 2454 (ร.ศ.130) จึงได้ย้ายมาตั้งที่ตำบลบางพุทรา
ศาลากลางจังหวัดหลังนี้ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบตะวันตก ทรงปั้นหยา มีขนาดกว้าง 15 ห้อง หลังคามุงกระเบื้องซีเมนต์ พื้นไม้เนื้อแข็ง กรมศิลปากรพิจารณาเห็นว่าเป็นสถานที่สำคัญจึงได้บูรณะให้อยู่ในสภาพดีและประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2532
อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันและอุทยานค่ายบางระจัน อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 15 กม. ตามเส้นทางสายสิงห์บุรี - สุพรรณบุรี หมายเลข 3032 มีพื้นที่ ประมาณ 115 ไร่ เป็นสวน รุกขชาติ ที่พักผ่อนหย่อนใจ มีอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน เป็นรูปหล่อประติมากรรมของหัวหน้าชาวบางระจันทั้ง 11 คน ในท่าที่เข้มแข็งพร้อมรบ สร้างโดย กรมศิลปกร ปรากฏสวยเด่นเป็นสง่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2519
ค่ายบางระจันมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ผืนแผ่นดินแห่งนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ความกล้าหาญและความเสียสละของวีรชนไทยที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2308 ในครั้งนั้นชาวบ้านบางระจันได้ รวมพลัง กันต่อสู้กับกองทัพพม่าเพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ จนพม่าต้องยกทัพเข้าตีหมู่บ้านถึง 8 ครั้ง ใช้เวลานานถึง 5 เดือน จึงเอาชนะได้เมื่อวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309
ค่ายบางระจันในปัจจุบันนี้ได้สร้างจำลองโดยอาศัยรูปแบบค่ายในสมัยโบราณ หน้าค่ายบางระจันมีอนุสาวรีย์ผู้กล้าชาวบางระจัน นับเป็นอนุสาวรีย์ที่สำคัญยิ่งของชาติอีกแห่งหนึ่ง
การเดินทางมีรถประจำทางสาย 4162 (สุพรรณบุรี-โคกสำโรง) ผ่าน
เมืองโบราณคูเมือง ตั้งอยู่ในเขตตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมืองนี้สันนิษฐานว่าเป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ 11 - 16 ลักษณะตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 650 เมตร ยาว 750 เมตรมีคูน้ำกว้างประมาณ 10 เมตร บางตอนกว้างถึง 50 เมตร ล้อมรอบ 1 ชั้น ไม่พบซากอาคารเหลืออยู่ มีการค้นพบโบราณวัตถุได้แก่ ภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยชาม หม้อ ไห กาน้ำ ตะคันดินเผา แท่นบดหิน แวดินเผา พระพุทธรูปและธรรมจักรหินเขียว ตุ้มหู เครื่องทอง ลูกปัดหินสี และเหรียญเงินมีคำจารึกว่า " ศรีทวารวดีศวรบุญยะ " แสดงว่ามีชุมชนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ติดต่อกันมา ตั้งแต่สมัยฟูนันจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ปัจจุบันเมืองโบราณบ้านคูเมืองเป็นสวนรุกชาติและ เป็นที่ตั้งศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ไม้จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ มีคูน้ำโบราณล้อมรอบ ร่มรื่นสวยงามด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ เป็นจำนวนมาก
เตาเผาวัดพระปรางค์ หรือที่เรียกกันว่า " แหล่งเตาแม่น้ำน้อย " ตั้งอยู่บริเวณวัดพระปรางค์ เขตบ้านโคกหม้อ ตำบลเชิงกลัด ห่างจากแม่น้ำน้อย 200 เมตร เป็นเตาผลิตเครื่องปั้นดินเผา อายุระหว่างพุทธศตวรรษ 20-24 ประมาณในสมัยกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 1941 - 2310
ลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ 3 เนิน ส่วนตัวเตาเป็นแบบระบายความร้อนเฉียงขึ้น ก่ออิฐ ยาว 14 เมตร กว้าง 5.6 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางของปล่องควันไฟยาว 2.15 เมตร ตั้งอยู่บนเนินดินขนาดใหญ่ ตัวเตาบางส่วนคล้ายเรือประทุน จึงเรียกว่า " เตาประทุน " แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ปล่องไฟ ห้องวางเครื่องปั้นดินเผา และห้องเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์ที่พบมากคือ ไห ไหสี่หู อ่าง ครก กระปุก ขวด ช่อฟ้า กระเบื้องปูพื้น กาน้ำ กระสุนปืนใหญ่ ท่อน้ำดินเผา ประติมากรรมลอยตัวรูปสัตว์ต่างๆ ฯลฯ
จากการขุดค้นพบและศึกษาจากเอกสารทางประวัติสาตร์พอสรุปได้ว่า เทคโนโลยีเตาเผาที่วัดพระปรางค์ ได้มาจากกลุ่มเตาเผาเมืองสุโขทัย และแหล่งเตาเผาแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเพื่อการบรรจุสินค้า ค้าขายแก่ต่างประเทศ นอกเหนือจากการผลิตเพื่อความ ต้องการของท้องถิ่น กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นและขุดแต่งเตาเหล่านี้ใน พ.ศ. 2531 , 2535 และ 2536 เท่าที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้มีเตาทั้งสิ้น 8 เตา เป็นการสร้างซ้อนกันหลายครั้ง ในปัจจุบันได้มีการสร้างหลังคาคลุมเตาที่ขุดแต่งเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของโครง อนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเตาแม่น้ำน้อย ซึ่งกรมศิลปกรดำเนินการร่วมกับจังหวัดสิงห์บุรี
อุทยานแม่ลามหาราชานุสรณ์ อยู่หางจากตัวเมืองไปประมาณ 9 กม. ตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 309 จะมีทางแยกซ้าย ไปบ้านเชิงกลัดอีก 1.5 กม. จะถึงอุทยานแม่ลามหาราชานุสรณ์ คำว่า "แม่ลา" เป็นชื่อลำน้ำสายหนึ่งในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี ไหลผ่านพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภออินทร์บุรี อำเภอบางระจัน และอำเภอเมืองสิงห์บุรี เป็นลำน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ของปลา ฉะนั้นปลาที่จับได้ จากลำน้ำแม่ลาจึงอ้วน เนื้อนุ่ม มัน มีรสชาติอร่อย โดยเฉพาะปลาช่อน แม่ลา เป็นอาหารและของฝากที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ปัจจุบันมีการอนุรักษ์ฟื้นฟูลำน้ำแม่ลา ให้มี ทัศนียภาพที่สวยงาม เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป
2023 © Thepsatri Rajabhat University