Page 11 - จิตรกรรมฝาผนัง วัดธรรมิการาม อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี
P. 11
จากจิตรกรรมไทยในอดีตที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนามาจากการเขียนภาพ
พระพุทธเจ้าในกรุเล็กๆ มาสู่พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ที่มีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบ
พิธีกรรม เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ดังนั้น การเขียนภาพจึงจ�าเป็นต้องสื่อเรื่องราวให้ผู้คนที่
เข้ามาในวัดได้เข้าใจหลักธรรมทางพุทธศาสนาได้ทราบถึงบาปบุญคุณโทษ ได้เห็นความพยายาม
ของพระพุทธเจ้าในการเอาชนะกิเลส ในภาพมารผจญ ให้คนได้เห็นถึงการละวางจากทางโลก
โดยเป็นสัญลักษณ์รูปพระพุทธเจ้าหันหลังให้กับภาพโลกและจักรวาล เป็นต้น ดังนั้นวัตถุประสงค์
ของการสร้างงานจิตรกรรมจึงเปลี่ยนแปลงไปจากการเขียนเพื่อเป็นพุทธบูชา เพื่อสืบทอด
พุทธศาสนาในยุคแรก มาสู่การเขียนงานจิตรกรรมเพื่อสอนคนที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ให้
เข้าใจพุทธศาสนาโดยใช้ภาพเขียนเป็นสื่อกลาง ดังที่พระราชวินิจฉัยในพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าด้วยเรื่องการจัดให้มีการเขียนรูปตามวัดต่างๆ โดยมีความว่าการ
เขียนภาพในวัดนั้นมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ
เพื่อแสดงธรรมในลักษณะบุคลาธิษฐานธรรม คือถ่ายทอดธรรมะที่เป็นนามธรรม
ออกมาเป็นรูปธรรมให้เป็นที่รับรู้เข้าใจได้ง่ายเพื่ออาศัยรูปภาพเป็นผู้บรรยายหรือพรรณนาความ
รูปภาพเป็นดั่งธรรมกถึก คือเทศนาธรรมแทนภิกษุเพื่ออาศัยรูปภาพเป็นอุปกรณ์ส�าหรับ
ปลงสังเวชกับสังวรศีล สังวรธรรม แก่ศาสนิกชนทั้งปวง (จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์. ๒๕๔๙ : ๔๑)
จากยุคสมัยของรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมาได้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบการน�าเสนอในการสร้าง
งานจิตรกรรม อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากความเจริญของสังคมและการติดต่อค้าขายกับ
ชาวต่างชาติ จิตรกรมีการแสดงออกที่เป็นลักษณะเฉพาะบุคคลมากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๔
เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จิตรกรไม่ได้ยึดติดขนบธรรมเนียมในการสร้างงานจิตรกรรม
แบบเดิมๆ อีกต่อไป จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ เน้นการผสมผสานกับงานแนวเหมือนจริง
แบบตะวันตกมากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๖-๗ ได้หวนกลับมาฟื้นฟูศิลปกรรมไทยประเพณีขึ้น
อีกครั้งแต่ท�าได้เพียงบางส่วนเท่านั้น จิตรกรรมในพระอุโบสถของวัดธรรมิการามที่มีอายุราว
สมัยรัชกาลที่ ๕ คือ จึงมีลักษณะเป็นจิตรกรรมแบบลูกผสมอย่างที่นิยมในสมัยนั้น
| 9