สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
พิพิธภัณฑ์์หอโสภณศิลป์
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ วัดเชิงท่า อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์สร้างเมื่อ พ.ศ. 2540 ภายในอาคารมี 2 ชั้น ชั้นล่างแบ่งเป็นห้องเล็ก 2 ส่วน และชั้นบนเป็นห้องยาวโล่งตลอด ด้วยความดำริของพระครูโสภณธรรมรัต(อาศรมธมฺมทีโป) เจ้าอาวาสวัดเชิงท่า(พ.ศ. 2504-2552) เพื่อเป็นสถานที่รวบรวม และจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าทางศาสนา ศิลปกรรม ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ของวัดเชิงท่า และเป็นสมบัติส่วนตัวของท่านพระครูโสภณธรรมรัต การจัดแสดงศิลปกรรมโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ได้เริ่มเมื่อ พ.ศ. 2542 และสำเร็จเรียบร้อยใน พ.ศ. 2544 ด้วยความร่วมมือของบุคคลหลายฝ่าย อาทิ คณะสงฆ์วัดเชิงท่าและวัดกวิศรารามราชวรวิหาร ชุมชนวัดเชิงท่า และศิษยานุศิษย์ผู้เคารพศรัทธาในจริยานุวัตรของท่านพระครูโสภณธรรมรัต รวมถึงนักวิชาการด้านต่างๆ จากภายนอกงบประมาณ ในการก่อสร้างอาคาร และการจัดแสดประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งได้มาจากการบริจาคทั้งสิ้น
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชทานดำเนินเปิดพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2545
การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์มีีพื้นที่ภายในอาคาร 253 ตารางเมตร ได้เริ่มโครงการด้วยการรวบรวมสิ่งของวัตถุที่มีอยู่ในวัดเชิงท่าโดยได้ี่มาจาก 2 แหล่ง คือ
1. เป็นสมบัติของวัดเชิงท่าเช่น พระพุทธรูป พระคัมภีร์ ตู้พระธรรม ภาพพระบฎ
2. เป็นสมบัติส่วนตัวของพระครูโสภณธรรมรัตได้สะสมไว้จากการที่มีผู้นำมาถวายโดยเฉพาะ 'เครื่องถ้วย'
การจัดแสดงได้กำหนดขอบเขตเนื้อหาให้สอดคล้องกับโบราณวัตถุของวัดเชิงท่า มีดังนี้
1. ประวัติวัดเชิงท่า จัดแสดงโดยใช้ภาพถ่ายสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในวัด รวมทั้งรูปภาพอดีตเจ้าอาวาสวัดเชิงท่า
2. จัดแสดงเรื่องพระสงฆ์ ด้วยการนำเสนอชีวประวัติพระครูโสภณธรรมรัต ผู้เป็นพระสงฆ์ที่ได้อุทิศตนต่อพระพุทธศาสนามาตลอดชีวิต และอีกมุมหนึ่งของพื้นที่ส่วนนี้ ได้แสดงเครื่องถ้วยล้ำค่าที่พระครูโสภณธรรมรัตได้สะสมไว้
3. จัดแสดงเรื่องพระพุทธธรรม ด้วยการนำพระคัมภีร์ พระไตรปิฎก ตู้พระธรรม รวมทั้งส่วนประกอบอื่นๆ ของพระคัมภีร์เช่น 'ผ้าห่อคัมภีร์' ซึ่งเป็นผ้าโบราณนำมาจัดแสดง
4. จัดแสดงเรื่องพระพุทธเจ้า ด้วยการนำพระพุทธรูป ภาพพระบฎชาดกเรื่องพระเวสสันดร อันเป็นสมบัติเก่าแก่ของวัดเชิงท่า รวมทั้งนำพระพุทธรูปและพระพิมพ์ของสะสมของพระครูโสภณธรรรัตนำมาจัดแสดง โดยกำหนดให้พื้นที่ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์เป็นที่จัดแสดง
5. จัดแสดงเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ วัดเชิงท่า เป็นสถานที่มุ่งหวังให้ผู้เข้าชมได้้ความรู้ พร้อมกับชื่นชมงานศิลปกรรมที่งดงามในเรื่องพระพุทธศาสนาและประวัติวัดเชิงท่า
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30-16.30 น. ไม่เก็บค่าเข้าชม โทร. 036-618388
พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก
พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก ตั้งอยู่ในบริเวณเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ บ้านแก่งเสือเต้น ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสักสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2541 โดยกรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้มอบให้กรมชลประทานเป็นผู้ดูแล จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉพาะเรื่อง เป็นการจัดแสดงมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่กักเก็บน้ำในเขื่อนป่า่สักชลสิทธิ์ ซึ่งได้ี่ขุดพบหลักฐานที่สำคัญเป็นประโยชน์ในด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมในพื้นที่โครงการฯ รวมทั้งการดำรงชีวิต สภาพแวดล้อม ความเป็นไปต่างๆ ตลอดจนความรุ่งเรืองของชุมชนในบริเวณนี้ ยังได้รวบรวมข้อมูลด้านการชลประทาน ข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนป่าสัก ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ และทรัพยากรธรรมชาติ จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก
การจัดแสดงแบ่งเป็น 6 ส่วน
ส่วนที่ 1 อาคารเก้าเหลี่ยมเป็นจุดเริ่มของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่อง "การชลประทานในประเทศไทย"และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชกับการชลประทาน จากนั้นเป็นทางเดินเข้าสู่อาคารใหญ่
ส่วนที่ 2 จัดแสดงเรื่อง "ย้อนรอยอารยธรรม" โดยจัดแสดงหลักฐานการตั้งถิ่นฐานยุคต่างๆ ที่กรมศิลปากรได้สำรวจขุดพบหลักฐานในบริเวณเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งแต่อดีตของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และการตั้งถิ่นฐานยุคต่อๆ มาคือ สมัยทวารวดี สมัยอยุธยา เป็นต้น เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหิน เครื่องมือโลหะ เครื่องประดับ และภาชนะต่างๆ
ส่วนที่ 3 จัดแสดงเรื่อง "วัฒนธรรมท้องถิ่น" จัดแสดงวิถีชีวิตของมนุษย์รุ่นสุดท้ายที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่เก็บกักน้ำของโครงการฯ ได้แก่ ชาวไทยเบิ้ง ซึ่งเป็นกลุ่มคนอพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ประเทศลาว มีการนำวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้งมาจัดแสดงเช่น ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี และการดำรงชีวิต
ส่วนที่ 4 จัดแสดงเรื่อง "ภูมิศาสตร์" เป็นความรู้ด้านธรรมชาติที่มีข้อมูลเกี่ยวกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ แหล่งน้ำที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำป่าสัก
ส่วนที่ 5 จัดแสดงเรื่อง "ทรัพยากรธรรมชาติ" เช่นป่าไม้ และสัตว์ป่าที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ในอดีต ได้นำต้นไม้และพืชพรรณที่เคยมีอยู่ในพื้นที่มาปลูกจำลองไว้ เช่น สักทอง ประดู่ป่า ไผ่ และต้นค้อ
ส่วนที่ 6 จัดแสดงเรื่อง "ป่าสักวันนี้" จัดในลักษณะห้องแสดง 'สไลด์มัลติวิชั่น' เป็นการนำเสนอข้อมูลเนื้อหาสาระต่างๆ ที่ได้ชมมาแล้วทั้ง 5 ส่วน นำมาสรุปใส่แสง สี เสียง และก่อนเข้าห้องแสดง ป่าสักวันนี้ จะมีป้ายนิเทศที่มีเสียงเมื่อเดินผ่านเข้าไปใกล้ๆ จะมีเสียงอธิบายถึงทัศนคติของหลากหลายบุคคล หลายอาชีพที่มีต่อโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับความรู้แล้วยังได้ชมเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ซึ่งเป็น "เขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย" พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสักเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.00-16.00 น. ตั้งแต่วันพุธถึงวันอาทิตย์ เว้นวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนขัตฤกษ์ ไม่เก็บค่าเข้าชม
การเดินทางจากจังหวัดสระบุรีใช้เส้นทางสายพหลโยธินเมื่อถึงตำบลพุแคเปลี่ยนเส้นทางมาสายพุแค-ลำนารายณ์ ถึงสี่แยกพัฒนานิคมซอย 12 ให้เลี้ยวขวามาตามทางหลวงหมายเลข 3017 และการเดินทางจากจังหวัดลพบุรีเริ่มที่วงเวียนสมเด็จพระนารายณ์ใช้เส้นทางพหลโยธินประมาณ 4 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายตามทางหลวงหมายเลข 3017 ผ่านบ้านโคกตูม และอำเภอพัฒนานิคมเข้าสู่เขื่อนป่าสักฯ ระยะทางรวมประมาณ 57 กิโลเมตร
รถไฟจากกรุงเทพฯ โดยสารรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ และขบวนที่จอดสถานีย่อยเขื่อนป่าสักฯ (เช่นขบวนกรุงเทพ-หนองคาย) ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการมีรถไฟขบวนพิเศษ ไป-กลับกรุงเทพฯ-เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
รถประจำทางขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งลพบุรี สายลพบุรี-หนองม่วง ระยะทางประมาณ 47 กิโลเมตร ผ่านทางเข้าเขื่อนป่าสักฯ และต้องเดินหรือโดยสารรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปถึงพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก
โทร. 036-494031,494032
พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านวัดยาง ณ รังสี
พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านวัดยาง ณ รังสี ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลตะลุง อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่ที่ศาลการเปรียญ(หลังเก่า) เป็นที่จัดแสดงเรือพื้นบ้านที่เคยใช้เป็นพาหนะสัญจรทางน้ำในอดีต เพราะชาวบ้านมีชีวิตผูกพันอยู่กับแม่น้ำและเรือพื้นบ้านตลอด เรือบางชนิดก็ยังมีใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น เรือหมู เรือบด เรือกระแชง เรือชะล่า เรือป๊าป เรือผีหลอก เรือพายม้า เรือมาด เรือสำปั้นหรือสามปั้น เรือเข็มหรือเรือโอ่ เรือยาว เรืออีโปง เรือเอี้ยมจุ๊น ฯลฯ มีเรือประมาณ 60 ลำ นอกจากนี้ยังมีเรือยาวลำใหญ่ซึ่งเป็นเรือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอยู่ 1 ลำ คือเรือมาด
เรือที่หาดูได้ยากที่สุดในประเทศไทยคือ เรือเข็ม, เรือหางเหยี่ยว, เรือชะล่า และเรืออีโปง
ศาลาการเปรียญ(หลังเก่า) สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2470 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี เป็นศาลาที่มีความสวยงามได้สัดส่วนและมีคุณค่าทางศิลปะอย่างยิ่ง เมื่อปีพ.ศ. 2525 ศาลาหลังนี้ได้ชำรุดทรุดโทรมมาก วัดยาง ณ รังสีจึงได้สร้างศาลากาลเปรียญคอนกรีตขึ้นมาใหม่ และจะรื้อศาลาเก่าหลังนี้แต่ อาจารย์ภูธร ภูมะธน ขณะนั้นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ และชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลพบุรี ได้ขอร้องให้วัดรักษาศาลาการเปรียญหลังนี้ไว้ เพราะศาลาการเปรียญที่ทำด้วยไม้สวยงามเช่นนี้นับวันจะหมดสิ้นไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ ทางวัดยาง ณ รังสี เห็นชอบและขอร้องให้หาทุนมาช่วยบูรณะซ่อมแซมศาลา ต่อมาได้จัดให้มีการทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำปัจจัยมาบูรณะซ่อมแซมศาลาการเปรียญถึง 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ. 2529 และพ.ศ. 2531 การดำเนินการซ่อมแซมจึงแล้วเสร็จ และได้เริ่มใช้ศาลาหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านขึ้น
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของศาลาการเปรียญวัดยาง ณ รังสี เป็นศาลาไม้ทรงไทย โถงยาว 26 เมตร กว้าง 12.50 เมตร ใต้ถุนสูง หลังคาปีกนกซ้อนกัน 3 ชั้น เดิมหลังคาปีกนกมุงด้วยสังกะสีและได้ทำการบูรณะซ่อมแซมเปลี่ยนเป็นมุงด้วยกระเบื้อง ส่วนพื้นที่หน้าจั่วด้านหน้าและด้านหลังของศาลาแกะสลักไม้ลายนูนปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพารักษ์นั่งในซุ้มลายทอง สลักเป็นรูปเทพพนมประกอบลายก้านขด มีเครืื่องประดับหลังคาเป็นช่อฟ้านาคเลื้อยอย่างสวยงาม มีบันไดด้านทิศใต้และทิศตะวันตกลงศาลาท่าน้ำ
ผู้ออกแบบศาลาคือ นายปั่น แตงบู่ ช่างไม้ในหมู่บ้าน มีเรื่องเล่ากันว่าผู้ออกแบบได้จำลองรูปแบบอาคารมาจากภาพศาลาที่อยู่ในธนบัตรใบละ 1 บาท ที่พิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 8 มาวาดลงพื้นดิน แล้วสร้างแบบจำลองโดยใช้ไม้โสนและได้ทำการขยายแบบและทำการก่อสร้าง
พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านวัดยาง ณ รังสี เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านที่วัดยาง ณ รังสี เป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่เก็บเรือพื้นบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงมรดกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น ทั้งยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ไปเที่ยวชม
การเดินทางใช้เส้นทางสายลพบุรี-บ้านแพรก(ถนนเลียบคลองชลประทาน) ห่างจากอำเภอเมืองลพบุุรี ประมาณ 8 กโลเมตร มีรถประจำทางสายลพบุรี-บ้านแพรก-อยุธยาผ่านหน้าวัด โทร. 036-656390, 08-18578761
พิพิธภัณฑ์วัดเขาวงพระจันทร์
พิพิธภัณฑ์วัดเขาวงพระจันทร์ ตั้งอยู่ที่วัดเขาวงพระจันทร์ ต.ห้วยโป่ง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ก่อตั้งโดยหลวงพ่อฟัก เจ้าอาวาสวัดเขาวงพระจันทร์ พิพิธภัณฑ์เป็นอาคารไม้สัก 3 ชั้น
ชั้นที่หนึ่ง เป็นโบราณวัตถุ มีอายุและสมัยต่างกันจำพวกไหโบราณ ชามสังคโลก ถ้วยเบญจรงค์ งาช้างต่างๆ ต้นไม้ประดับเป็นหิน พลอยสี แผ่นฝาผนังไม้สักแกะสลักความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปกรรม จิตรกรรม หัตถกรรม เป็นต้น
ชั้นที่สอง เป็นนิทรรศการเรื่องพระเครื่อง ของใช้ของพระสงฆ์โดยเฉพาะ ตาลปัตร พัดยศ 18 อัน มีความสวยงามโดดเด่น มีพระพุทธรูปหลากหลาย มีพุทธศิลป์ที่มาจากพม่า 3 องค์ เหมาะสำหรับผู้ศึกษาพุทธศิลป์ และพระพุทธของแต่ละสมัย
ชั้นที่สาม เป็นที่รวบรวมพระบรมฉายาลักษณ์ของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ในอิริยาบถต่างๆ กว่า 100 รูป
ในเดือนสามมีงานวัดเขาวงพระจันทร์ พุทธศาสนิกชนจะมานมัสการรอยพระพุทธบาทและมีเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 3,790 ขั้น ใช้เวลาเดินขึ้นบนยอดเขาประมาณ 2 ชั่วโมง
การเดินทางมีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่ง สายลพบุรี-โคกสำโรง และรถตู้บ้านหมี่-กรุงเทพ ผ่านทางหน้าวัด ต้องเหมารถรับจ้าง(มอเตอร์ไซต์) จากปากทางเข้าวัดไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร
เบอร์โทร.036-650188
พิพิธภัณฑ์วัดไลย์
พิพิธภัณฑ์วัดไลย์ ตั้งอยู่หมู่ที่ 10 ตำบลเขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี
พิพิธภัณฑ์วัดไลย์ เป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุไว้เป็นจำนวนมากโดยจัดแสดงให้ชมในอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 ชั้น โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์เป็นของเก่าแก่ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ี้ได้นำมาถวายวัด ซึ่งได้มาจากมรดกตกทอดสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ และภายในพิพิธภัณฑ์ีมีการจัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นที่วัดไลย์
พิพิธภัณฑ์ี้วัดไลย์ริเริ่มโดยพระครูสุพุทธิสุนทร (หลวงพ่อเล็ก) เจ้าอาวาสวัดไลย์ในปี พ.ศ. 2472-2487 เป็นผู้รวบรวมสิ่งของจัดแสดงและโบราณวัตถุต่างๆ โดยจัดแสดงไว้ที่หอประชุมสงฆ์ของวัดไลย์ก่อน จากนั้นพระครูสถิตปัญญาภิสันท์เจ้าอาวาสวัดไลย์ พ.ศ. 2521-2530 จึงเริ่มสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ี้ขึ้นมาและนำสิ่งของเข้ามาจัดแสดง ต่อมาพระครูวิลาศพัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดไลย์องค์ปัจจุบันจึงได้ร่วมกับนายพิชัย วงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา พระนครศรีอยุธยา ทำการปรับปรุงการจัดแสดงโบราณวัตถุและสิ่งของต่างๆ ให้เป็นระเบียบและเป็นหมวดหมู่ประกอบคำอธิบายอย่างเป็นรูปแบบ
ชั้นล่าง ได้จัดแสดงสิ่งของไว้ภายในตู้ต่างๆ มีตราประทับสำคัญ, สังข์ประกอบพิธี, ต้นไม้ทอง, ตู้เงินเหรียญโบราณต่างๆ พดด้วง, เครื่องเงินมีทั้งกล้องสูบยา กล้องสูบฝิ่น กล่องทำจากเงิน, ตะเกียงโบราณ, โต๊ะเครื่องเรือนฝังมุกชุดใหญ่, ที่ฝาผนังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสมาที่วัดไลย์ เป็นภาพชาวบ้านที่มารับเสด็จ และภาพสะพานไม้ไผ่หน้าวัดด้านที่ติดกับแม่น้ำบางขาม
กลางห้องมีตู้แสดงเครื่องปั้นดินเผายุคต่างๆ ตุ๊กตาเสียกบาลยุคอยุธยา เครื่องเคลือบจากเตาเผาเชียงใหม่ จานเชิงเขียนสี, ตู้พระจุไลหรือแผ่นปิดศรีษะทองคำของพระพุทธรูปพระศรีอารยเมตไตร, ตู้กระเบื้องเขียนสีเบญจรงค์, ตู้จัดแสดงเครื่องกระเบื้องลายครามและตุ๊กตากระเบื้องมีหนวดจริงๆ และตู้เครื่องเขินลงรักปิดทอง ไฟแช็คยุคพระเจ้าเห
ชั้นบน จัดแสดงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา่ มีตู้พระธรรมลายรดน้ำ, คัมภีร์สมุดข่อย, พระพุทธรูปโบราณทั้งโลหะและเป็นหินแกะสลัก, เครื่องทองเหลืองเช่น ขันสาครทำน้ำมนต์ใบใหญ่, เครื่องดนตรีไทยของวัดไลย์ที่ริเริ่มจากพระครูสุพุทธิสุนทร (หลวงพ่อเล็ก), ชุดเชี่ยนหมาก ตะบันหมากทองเหลือง และมีรูปปั้นพระอินทร์ที่มขนาดเท่ากับตัวคน
วัดไลย์มีทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ และพระศรีอาริยเมตไตร ภายในวัดมีประติมากรรมปูนปั้นเก่าแก่ครั้งสมัยอยุธยาที่สมบูรณ์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
การเดินทาง มีเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 311 (ลพบุรี - สิงห์บุรี) แล้วเลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3028 ตรงสี่แยกไฟแดง(กม.ที่18) เข้าไปอีกระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร และมีรถโดยสารประจำทางผ่านหลายสาย คือสายลพบุรี-ท่าโขลง สายโคกสำโรง-บ้านหมี่ และสายสิงห์บุรี-บ้านหมี่
เปิดบริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เวลา 09.00-16.00 น. โทร. 036-489105
2023 © Thepsatri Rajabhat University