สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
ไทยเบิ้ง
ไทยเบิ้ง ไทยเดิ้งหรือไทยโคราช เป็นกลุ่มชนอีกท้องถิ่นหนึ่ง ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก และยังตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ ได้แก่
ที่อยู่อาศัยชาวไทยเบิ้ง ชาวไทยเบิ้ง
จังหวัดลพบุรี : อำเภอพัฒนานิคม, อำเภอชัยบาดาล, อำเภอโคกสำโรง และอำเภอสระโบสถ์
จังหวัดสระบุรี : อำเภอวังม่วง
จังหวัดเพชรบูรณ์ : อำเภอศรีเทพ และอำเภอวิเชียรบุรี
จังหวัดบุรีรัมย์ : อำเภอนางรอง, อำเภอหานทราย, อำเภอหนองกี่, อำเภอเมือง และอำเภอลำปลาย มาศ
จังหวัดชัยภูมิ : อำเภอจัตุรัส และอำเภอบำเหน็จณรงค์
จังหวัดนครราชศรีมา : ทุกอำเภอ ยกเว้น อำเภอที่ชาวไทยลาวมากกว่าเช่น อำเภอหนองบัวใหญ่ อำเภอสูงเนิน
กลุ่มวัฒธรรมไทยเบิ้ง
ไทยเดิ้งหรือไทยโคราช กลุ่มนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ แต่เป็นกลุ่มเดียวกันจึงมีคำจำกัดความไว้สำหรับคนไทยกลุ่มนี้ว่า "เป็นกลุ่มที่ใช้ภาษาไทยภาคกลางเพี้ยน เหน่อ น้ำเสียงห้วนสั่น ภาษาที่นิยมพูดจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า 'เบิ้ง'
( มีภาษาไทยลาวปะปนอยู่บ้าง)" คำพื้นฐานทั่วไปของชาวไทยเบิ้ง ตรงกับภาษาไทยภาคกลาง ชาวไทยเบิ้งมีขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒธรรมคล้ายกลุ่มชนไทยภาคกลาง แต่ยังมีลักษณะบางอย่าง ที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชน เช่น ภาษา ความเชื่อ เพลงพื้นบ้าน เครื่องมือเครื่องใช้ ในการประกอบอาชีพ การทอผ้ารวมทั้งการละเล่นต่างๆ
ประวัติการตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มแม่น้ำป่าสัก
การขุดค้นพบทางโบราณคดีในพื้นที่กลุ่มชัยบาดาล กลุ่มมะนาวหวาน และกลุ่มหนองบัว โดยกรมศิลปกร ตั้งแต่
พ.ศ. 2539 - 2540 รวม 18 แห่ง สรุปได้ดังนี้
การตั้งถิ่นฐานเก่าสุดตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ในพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำลพบุรีมีอายุราว 3,000 - 3,500 ปีก่อน และยังมีการตั้งถิ่นฐานต่อเนื่อง ในยุคสมัยต่อๆ มาอีก เช่น สมัยทวารดี ยุคสมัยรับอิทธิพลเขมร ยุคสมัยอยุธยา ได้ค้นพบ ภาชนะดินเผา, ภาชนะสำริด, ขวานหินขัด, ขี้แร่ และเครื่องประดับร่างกาย (กำไลหิน) ฯลฯ
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ลูกปัดดินเผา | เครื่องมือเหล็ก | ขวานหินขัด | กำไลสัมฤทธิ์ |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
กำไลสัมฤทธิ์ | โถเคลือบสีน้ำตาล | กำไลหยก | กระพวนสัมฤทธิ์ |
![]() |
![]() |
||
โถ, หม้อ | โครงกระดูก |
แหล่งโบราณคดียุคสมัยนี้ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านชัยบาดาล (ตำบลชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล) แหล่งโบราณคดีบ้านท่าฤทธิ์ แหล่งโบราณคดีหนองม้ามันและแถบใกล้เคียง (ตำบลมะนาวหวาน อำเภอพัฒนานิคม) แหล่งโบราณคดีบ้านหนองบัว (ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม) การค้นพบโบราณวัตถุและศิลปกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เชื่อมโยงเรื่อง การตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวไทยเบิ้งในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักและบริเวณใก้ลเคียง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้
ประเพณีและความเชื่อของชาวไทยเบิ้ง
ประเพณี หมายถึง สิ่งที่เป็นความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศคติ การประพฤติปฏิบัติตลอดจนประกอบพิธีกรรมในโอกาสต่างๆ ที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมและได้รับการยอมรับจาคนส่วนใหญ่ในสังคมว่าถูกต้อง และยอมรับยึดถือปฏิบัติเป็นแบบแผนสืบต่อๆ กันมา
ประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในสังคมจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
1. ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตส่วนบุคคลในครอบครัว
2. ประเพณีส่วนรวมที่กระทำเป็นกลุ่มตามเทศกาล เช่นทำบุญ การรื่นเริง สนุกสนาน ตามเทศกาลต่างๆ
ประเพณีชาวไทยเบิ้งก็ไม่ต่างจากชาวไทยกลุ่มอื่นมากนัก และในเรื่องความเชื่อบางอย่าง ก็มีเหตุผล และบางอย่างก็ไม่มีเหตุผล ความเชื่อดังกล่าวจึงทำให้เกิดผล 2 ประการ คือ ทำให้เกิดข้อห้ามไม่ควรปฏิบัติ และข้อควรปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดศิริมงคล เกิดผลดี มีความมั่นคงทางจิตใจและเกิดความสามัคคีในหมู่คณะ
ความเชื่อของชาวไทยเบิ้งที่ยึดถือปฏิบัติกันมา คือ
1. ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
2. ความเชื่อเกี่ยวกับยากลางบ้าน
3. ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง
4. ความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตและความฝัน
5. ความเชื่อเกี่ยวกับไสยาศาสตร์ ของคลัง คาถาอาคม ผ้ายันต์ ตะกรุด ลูกประคำ
6. ความเชื่อเรื่องลักษณะของคนและสัตว์
7. ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศาสนา
8. ความเชื่อเรื่องเคล็ด
9. ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ ผีกระสือ
10. ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์
11. ความเชื่อด้านโหราศาสตร์ หมอดู
12. ความเชื่อเกี่ยวกับการทำมาหากิน
ความคิด ความเชื่อที่ยึดถือปฏิบัติกันมาจนตลอดเป็นประเพณี จึงเป็นรากฐานส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิถีชีวิตของคนในสังคม และปรากฏ ในทุกขั้นตอนของการดำรงชีวิต ซึ่งโบราณได้กำหนดขั้นตอนที่สำคัญของชีวิต มี 4 ครั้ง คือ ตอนเกิด บวช แต่งงาน และตอนตาย เมื่ออายุแต่ละคน ผ่านถึงวัยหรือมาถึงขั้นตอนของชีวิตดังกล่าวจึงนิยมจัดทำพิธีต่างๆ เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ประเพณีท้องถิ่นชาวไทยเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้งที่อาศัยอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักมีความเชื่อและประเพณีต่างๆ คล้ายกับชาวไทยในภาคกลาง ประเพณีท้องถิ่นตลอดทั้งปีมีดังนี้
ลำดับ
|
ประเพณี
|
เนื้อหาโดยสรุป
|
1
|
เทศน์มหาชาติ | นิยมเทศน์กลางเดือน 12 |
2
|
ทำบุญในวันสำคัญทางพุทธศาสนา | ตอนเช้าทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ตอนค่ำไปเวียนเทียนที่วัด |
2.1
|
วันมาฆบูชา | ทำบุญตักบาตรและเวียนเทียนในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 |
2.2
|
วันวิสาขบูชา | ทำบุญตักบาตรและเวียนเทียนในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 |
2.3
|
วันอาสาฬหบูชา | ทำบุญตักบาตรและเวียนเทียนในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 |
3
|
เข้าพรรษา | เป็นวันพระใหญ่ทำบุญในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8มีการนำเทียนพรรษาไปถวายพระ ถ้าปีใดมีการหล่อเทียนจะมีการแห่สมโภชก่อน |
4
|
ออกพรรษาหรือลาพรรษา (ตักบาตรเทโว) |
ทำบุญตักบาตรเทโวในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 |
5
|
ตรุษ | ทำบุญสิ้นเดือน 4 นิยมกวนข้าวเหนียวแดง ทำขนมโปง นางเล็ด นำไปถวายพระ |
6
|
สงกรานต์ | ทำวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี |
7
|
ก่อพระเจดีย์ทราย | ทำทุกปีตอนตรุษและสงกรานต์ ตอนเช้าทำบุญก่อพระเจดีย์ทราย ตอนเย็นฉลองพระทราย |
8
|
ลอยกระทง | ชาวบ้านจะทำกระทงและนำไปลอยซึ่งแต่เดิมลอยลงในแม่น้ำป่าสัก ปัจจุบันนำไปลอยตามสระในหมู่บ้าน ในวันเพ็ญ เดือน 12 |
9
|
ทอดกฐิน | ทำหลังออกพรรษา ตั้งแต่ 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 |
10
|
ทอดผ้าป่า | ทำเป็นประจำ นิยมทำทุกวันพระในช่วงเข้าพรรษา |
11
|
สารท | ทำบุญในวันสิ้นเดือน 10 นิยมกวนกระยาสารทไปถวายพระที่วัด |
12
|
ทำบุญกลางบ้าน | เดิมทีจะทำกลางเดือน 6 เดือน 7 หรือเดือน 8 ทำเฉพาะปีที่ฝนแล้ง ปีไหนน้ำท่าอุดมดีจะไม่ทำ ปัจจุบันทำเป็นประจำทุกปี ในกลางเดือน 6 |
13
|
แห่นางแมว | ถ้าปีไหนฝนแล้งชาวบ้านจะแห่นางแมวขอฝนในเดือน 8 เดือน 9 เพื่อให้ฝนตก |
14
|
รับท้องข้าว | ทำหลังออกพรรษา นิยมทำในวันลาพรรษาตอนเช้าไปทำบุญตักบาตรที่วัด เสร็จแล้วก็จะไปทำพิธีรับท้องข้าวที่นาของตน |
15
|
รับขวัญข้าว | ทำในเดือน 12หลังเกี่ยวข้าวนวดข้าวและขนข้าวเข้ายุ้งแล้ว |
ภูมิปัญญาต่างๆ
ภูมิปัญญา หมายถึง พื้นฐานความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิตของชาวไทยเบิ้งและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ มีดังนี้คือ
ด้านอาชีพ ได้อาศัยประโยชน์จากสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่อยู่ใกล้เคียงเช่น การทำไต้ การทำลาน ส่วนอื่นๆ คือ การทำไร่ ทำนา หาปลา โดยมีเครื่องมือ ประกอบอาชีพส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ เป็นเครื่องมือดำรงชีวิตบางชิ้นเช่น ตระกร้าถือ มีรูปแบบคล้ายกระบุงเล็ก มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ประจำกลุ่มของชาวไทยเบิ้ง
![]() |
![]() |
![]() |
ตะกร้า | ตะกร้า | ตะแกรง |
![]() |
![]() |
![]() |
อีแอบ | ลัน | สุ่ม |
ผ้าทอ
กลุ่มชนชาวไทยเบิ้งที่อาศัยบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสักรูปแบบการทอ จะทอลวดลายแบบง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อ นลวดลายที่ได้จะเกิดจากการใช้สีต่างกัน ระหว่างเส้นด้ายพุ่งและเส้นด้ายยืน สีนิยมใช้สีเข้มและเป็นสีที่ตัดกันมากกว่าสีกลมกลืน เพราะทำให้สิ่งทอไม่ค่อยสกปรกและเก่าเร็วจะทำให้ใช้ได้นานที่สุด
|
|||||
การเข้าเกลียวด้าย | |||||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
||
ผ้าขาวม้าลายตาราย | ผ้าขาวม้าลายตาคู่ | ย่ามใช้ด้ายพุ่งเข้าเกลียว ใช้เส้นด้ายสีทอง |
ย่ามทอด้วยด้ายเข้า เกลียวสีเข้ม |
การแต่งกาย
ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง เริ่มตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ชายและหญิง การแต่งกายคล้ายคนไทยแถบภาคกลางและแถบนครราชสีมา ทั้งลักษณะของแบบเสื้อ ผ้านุ่ง ทรงผม และการแต่งหน้า เสื้อที่ใช้ในแต่ละวันคล้ายๆ กันเช่น
ผู้หญิง ใช้เสื้อกระโจม เสื้ออีแปะ ต่อมาเป็นเสื้อปกฮาวาย ปกเชิ้ต และปกตามสมัยนิยม ผ้านุ่ง คือ ผ้าโจงกระเบน และนุ่งผ้าถุง (ส่วนใหญ่สตรีสูงอายุนุ่ง)
ผู้ชาย ใช้เสื้อ คอกลม เสื้อกุยเฮง คอกระบอก ต่อมาเป็นปกฮาวาย ปกเชิ้ต นุ่งผ้าโจงกระเบน กางเกงขาก๊วย กางเกงแพร กางเกงขาสั้น กางเกงขายาว และผ้านุ่งตาหมากรุก การแต่งกายของชาวไทยเบิ้งยังคงรักษารูปแบบการแต่งกายไว้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน
อาหาร
ชาวไทยเบิ้งใช้วัตถุดิบจากธรรมชาตินำมาผลิต และใช้ปรุงอาหาร การปรุงอาหารเป็นวิธีการปรุงอาหารแบบง่ายๆ และกินง่าย นิยมกินอาหารที่สดใหม่ อาหารสุกแล้ว อาหารประเภทเนื้อปลา ผักพื้นเมือง ข้าวเจ้า ไม่นิยมกินอาหารใส่กะทิหรือทอด
การเก็บรักษาอาหารไว้หลายๆ วัน โดยมีวิธีการถนอมอาหารแบบธรรมชาติเช่น ตากแห้ง การทำเค็ม หรือการดองเปรี้ยว ไม่มีการใช้สารปรุงแต่งอาหารประเภทสารสังเคราะห์ เช่น สารกันบูด สารกันรา ผงชูรส อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้งคือ แกงหัวลาน แกงไก่สามสิบ และแกงบุก เป็นอาหารที่หากินได้ง่ายในท้องถิ่น
ยานพาหนะ
แบบจารีตนิยมของกลุ่มชนชาวไทยเบิ้ง (แถบลุ่มแม่น้ำป่าสัก) ที่ใช้อยู่มี 2 ชนิด คือ
![]() |
![]() |
เรื่อ | เรือกระแชง |
1. ยานพาหนะทางน้ำที่ใช้ในแม่น้ำป่าสักอันเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญรวมทั้งเป็นแหล่งดำรงชีพได้แก่ เรือประเภทต่างๆ เช่น เรือหมู เรือพายม้า เรือมาด เรือต่อ เรือสำปั้น เรือแปะ ฯลฯ เรือเป็นที่เอกลักษณ์อย่างแท้จริงแถบลุ่มแม่น้ำป่าสัก เหลือเพียงบันทึกและคำบอกเล่า เช่น เรือหางแมงป่อง และเรือกระแชง เป็นเรือที่ใช้ประโยชน์การลำเลียงผลผลิตต่างๆ จากต้นน้ำป่าสักล่องลงมาแถบเมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน
เกวียน
2. ยานพาหนะทางบกที่ใช้เดินทางติดต่อไประหว่างชุมชนรวมทั้งใช้ในการประกอบอาชีพได้แก่ เกวียน และเลื่อน เป็นที่นิยมในอดีต ชาวไทยเบิ้งนิยมใช้เกวียนสำหรับบรรทุกผลผลิตต่างๆ จากไร่นาหรือจากป่ากลับมายังหมู่บ้านโดยใช้วัวเทียม
สังคม
ชาวไทยเบิ้งเป็นสังคมสงบสุขมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีต่อกันเป็นครอบครัวขยาย ส่วนมากจะมีผู้สูงอยู่ในบ้านด้วยภายในครอบครัวประกอบด้วยสมาชิก พ่อ แม่ ญาติฝ่ายแม่หรือญาติฝ่ายพ่อ ลูกและหลาน เป็นครอบครัวใหญ่เหมือนครอบครัวทั่วๆ ไป
ครอบครัวเป็นลักษณะแบบอัตตาธิปไตย คือ ผู้ใหญ่(ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่)ในครอบครัวเป็นผู้อาวุโส มีอำนาจเหนือทุกคนในบ้านสมาชิกในครอบครัวมีความเกรงใจ เชื่อฟังและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
การดูแลรักษาสุขภาพชาวไทยเบิ้ง เป็นชุมชนที่รู้จักดูแลรักษาอนามัยของชุมชนเป็นอย่างดี สมาชิกในชุมชนมีสุขภาพดี รู้จักรักษาที่อยู่อาศัยให้สะอาด นิยมบริโภคเนื้อปลา ผักพื้นบ้าน รับประทานอาหารสุกทั้งหมด หากมีโรคภัยไข้เจ็บจะใช้สมุนไพรรักษา ภายในชุมชนไทยเบิ้งมีหมอหลายประเภทการรักษาโรคเช่น หมอยาสมุนไพร หมอตำแย หมอรักษาโรคทางให้กำลังใจเช่น หมอน้ำมนต์ จึงทำให้สังคมชาวไทยเบิ้งสงบสุข คนชุมชนมีสุขภาพดี
สถาปัตยกรรมในลุ่มแม่น้ำป่าสักของชาวไทยเบิ้ง มีเอกลักษณ์เฉพาะเช่น
![]() |
![]() |
โบสถ์เก่าวัดสระโบสถ์ | หอสวดมนต์วัดจันทาราม |
![]() |
![]() |
วิหารที่วัดจันทาราม | ร้านตักบาตร วัดสิงหาราม |
1. สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าแบบอาคารพบได้ในวัด ได้แก่ โบสถ์ หอไตร ร้านตักบาตร หอสวดมนต์ อาคารผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลาง เช่น โบสถ์วัดจันทาราม และสถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น หอไตรวัดภัณฑาพฤกษ์ หอสวดมนต์วัดจันทาราม เป็นต้น
2. สถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวไทยเบิ้งแบบทรงไทยท้องถิ่นที่คล้ายกับเรือนไทยแบบโคราช แบบไทยลาวและแบบไทยอื่นๆ
![]() |
![]() |
||||||
เรือนไทยทรงอิทธิพลล้านนา | บ้าน | ||||||
|
ลักษณะที่น่าสนใจของบ้านในท้องถิ่นนี้คือ การทำฝาเรือน ที่ใช้วัสดุคือ ฝาฟาก ฝาค้อ เพราะต้นค้อที่นำมากรุแผงทำฝานั้น เป็นพืชพื้นถิ่นแถบล่มแม่น้ำป่าสัก ปัจจุบันนิยมสร้างบ้านเรือนไม้ใต้ถุนสูง หลังคาทรงปั้นหยา ทรงมนิลา
วัฒธรรมกลุ่มชนชาวไทยเบิ้ง
ภาษา ชาวไทยเบิ้งมีภาษาพูดคล้ายกับภาษาไทยภาคกลาง แต่มีเสียงวรรณยุกต์ต่างไปและนิยมลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "เบิ้ง เดิ้ง เหว่ย ด๊อก" มีผู้เรียกภาษานี้ว่า ภาษาไทยเดิ้ง หรือภาษาไทยโคราช ด้านวรรณกรรมเก่าแก่ที่พบมีรูปแบบตัวอักษรที่เขียนคือ "อักษรไทยและอักษรขอม" เป็นส่วนใหญ่ วัสดุที่ใช้เขียนเป็นสมุดไทยดำ สมุดไทยขาว(สมุดข่อย) และเขียนบนใบลาน เนื้อเกี่ยวกับนิทาน นิยาย คำสอนและคติธรรม ตำรายา ตำราหมอดู และกฎหมาย เป็นต้น
![]() |
![]() |
สมุดไทยขาว(สมุดข่อย) | สมุดไทยดำ |
![]() |
|
คัมภีร์ |
ศิลปกรรม
ชาวไทยเบิ้ง ลักษณะคล้ายแบบศิลปกรรมของภาคกลาง แต่มีลักษณะพื้นถิ่นมาปะบนอยู่ด้วยมาก เช่น พระพุทธรูป ธรรมาสน์ จิตรกรรม ศิลปกรรมบางชิ้นมีอายุเก่าแก่ถึงราวพุทธศตวรรษที่ 11 คือ พระพุทธรูปเคารพ (รูป) และที่สามารถกำหนดอายุศิลปกรรมได้อย่างแน่ชัดคือ ศิลปกรรมแบบไทยสมัยอยุธยา มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 คือ พระพุทธรูปต่างๆ
![]() |
![]() |
![]() |
||||
พระศรีอาริย์ |
พระพุทธรูป |
พระพุทธรูปนาคปรก |
||||
|
เครื่องดนตรีพื้นบ้านชาวไทยเบิ้งเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักพบน้อยชิ้นที่สำคัญการละเล่นและการประดิษฐ์จะไม่มีความซับซ้อน เช่น เพี้ย
|
![]() |
(บางครั้งเรียกจิ้งน่อง) ปี โทน และกลองยาว อาจจะได้รับอิทธิพลจากชุมชนไทยลาว
![]() |
![]() |
![]() |
ส่วนเพลงพื้นบ้านมีทั้งประเภทให้อารมณ์สนุกสนาน ครึกครื้น โดยใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะ เช่น เพลงรำโทน แต่เพลงพื้นบ้านบางชนิด ให้อารมณ์แก่ผู้ฟังจากปฎิภานของผู้ขับร้อง ที่คิดเนื้อเพลงขึ้นสดๆ ใช้โต้ตอบหรือเกี้ยวพาราสี เช่น เพลงหอมดอกมะไพ เพลงพวงมาลัย เพลงระบำบ้านไร่ เพลงโนเน เพลงพิษฐาน เพลงช้าเจ้าหงส์ และเพลงโคราช เป็นต้น เพลงโคราชได้รับความนิยมสูงสุดมีผู้เล่นได้บ้างจนถึงปัจจุบัน |
การละเล่นทั่วไปและกีฬาพื้นบ้าน จะเล่นในช่วงว่างเพื่อความสนุกสนานได้ฝึกฝนทักษะต่างๆ ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การละเล่นไทยเบิ้งคล้ายกับการละเล่นในภาคอื่นๆ และชาวไทยโคราช เช่น
- การละเล่นของเด็ก ได้แก่ มอญซ้อนผ้า งูกินหาง ขี่ม้าก้านกล้วย โพงพาง วิ่งเปี้ยว เป็นต้น
- การละเล่นผู้ใหญ่ ได้แก่ ลูกช่วง สะบ้า ต่อไก่ งูข้ามเส้า เบี้ยริบ เป็นต้น
เป็นการละเล่นเพื่อความเพลิดเพลินและเล่นในเทศกาลต่างๆ เช่น ตรุษสงกรานต์หรือประเพณีกลาง บ้าน เพื่อความสนุกสนานและยังสร้างความสามัคคีในชุมชน
ยวน
ยวน คนกลุ่มนี้พื้นเพเดิมอยู่แถบล้านนาไทย และมีไทยยวนกลุ่มหนึ่งถูกกวาดต้อนมาอยู่แถบลุ่มน้ำป่าสักตอนล่าง คือไทยยวนจากเมืองเชียงแสน (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดเชียงราย) ถูกกวาดต้อนมาโดยกองทัพสยามใน พ.ศ. 2347 ตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ให้มาตั้งบ้านเรือนที่ริมแม่น้ำป่าสักที่อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีและมีชาวไทยยวนบางกลุ่ม ได้กระจายตัวไปตามลำแม่น้ำป่าสักตอนบน ขึ้นไปตั้งบ้านเรือนปะปนอยู่กับหมู่ชาวไทยลาว ตัวอย่างเช่น นายหมวก หลงมาศ อายุ 84 ปี เป็นชาวไทยยวนจากอำเภอเสาไห้ อพยพขึ้นไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านมะกอกหวาน อำเภอชัยบาดาลเมื่อราว 60 ปีก่อน
มอญ
ช า ว ม อ ญตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตภาคกลางและภาคเหนือบางส่วน ในลพบุรีก็มีชาวมอญตั้งถิ่นฐานอยู่ แต่ไม่ใช่กลุ่มใหญ่เมื่อเทียบกับชุมชนมอญแถบอำเภอปากเกร็ด สามโคก หรือบ้านโป่ง โพธาราม แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะร่วมกันคือ ชาวมอญมักอยู่อาศัยตามริมแม่น้ำ ชาวมอญที่ลพบุรียึดสองฝั่งลำน้ำลพบุรีเป็นที่ตั้งชุมชนมีชื่อว่า "มอญบางขันหมาก"
บางขันหมากเป็นตำบลใหญ่ของอำเภอเมืองลพบุรี มีถึง 12 หมู่บ้าน แต่บ้านมอญนั้นอยู่ในหมู่ที่ 1, 2, 3, 6, 7, 9, 12 คนที่นี้เรียกกันว่า "บางขันหมากใต้" ส่วนหมู่ที่เหลือเป็นกลุ่มบ้านคนไทย ในบางขันหมากมีชาวมอญมากประมาณสามในสี่ของประชากรทั้งตำบล วัดที่เป็นศูนย์กลางมีถึง 4 วัดด้วยกัน คือ วัดกลาง วัดอัมพวัน วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม และวัดโพธิ์ระหัต
เชื่อกันว่า ชาวมอญบางขันหมากอพยพมาจากอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยเดินเรือจากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาตามลำน้ำลพบุรี "จากการศึกษาของ เทอดศักดิ์ มหาเรือนทรง เรื่อง "เรือนมอญที่ลพบุรี"พบว่า ชาวมอญได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บางขันหมากก่อน พ.ศ. 2393 หรือเมื่อเกือบ 150 ปีมาแล้ว เพราะหลักฐานทางสถาปัตยกรรมของวัดโพธิ์ระหัต อันเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดในชุมชนแห่งนี้ ระบุว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2393"
ชาวมอญบางขันหมากเคร่งครัดในวัฒนธรรมประเพณีของตนไม่ต่างจากคนมอญกลุ่มอื่น เช่นที่วัดทั้ง 4 แห่งจัดให้มีการเรียนการสอนหนังสือมอญทั้งแก่พระภิกษุ สามเณร และชาวบ้าน พระภิกษุสวดมนต์เป็นภาษามอญ เด็กมอญทั้งชายและหญิงไว้ผมโก๊ะ คือโกนผมหมดเหลือไว้ เฉพาะเพียงกลางกระหม่อมจนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษา ชาวบ้านถือผีเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นผีบรรพบุรุษ (ฮะกาว-กะล่ก) ผีเรือน (กะลก-ฮ่อย) หรือผีหมู่บ้าน (ปะจุ๊) เป็นต้น
ประเพณี - ความเชื่อของชาวมอญบางขันหมาก
ชาวมอญหรือชาวรามัญ ที่ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ยังคงยึดมั่นอยู่ในประเพณีความเชื่ออันมีเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ ซึ่งประเพณีความเชื่อบางประการจะคล้ายคลึงกับประเพณีของชาวมอญโดยทั่วไปในประเทศไทย แต่ประเพณีบางประการมีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวมอญที่ตำบลบางขันหมากเท่านั้น ซึ่งเคยยึดถือมาแต่อดีตและยังสืบทอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ประเพณีในรอบสิบสองเดือน
วิธีศึกษาประเพณีในรอบสิบสองเดือน คือคนโบราณจะเริ่มวันขึ้นปีใหม่ในวันสงกรานต์ ซึ่งตรงกับเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติ ชาวมอญก็เริ่มนับที่เดือนห้าเช่นเดียวกัน
ประเพณีในรอบสิบสองเดือนของชาวมอญตำบลบางขันหมากเรียงลำดับต่อไปนี้
เดือนห้า สงกรานต์ เมื่อเสร็จสงกรานต์มีการเล่นผีลิงลม
เดือนหก เดือนเจ็ด เป็นฤดูที่ต้องออกไถนา มีเล่นผีกลางคืน
เดือนแปด ฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านเข้าวัดถือศีล
เดือนเก้า ทำบุญกระจาดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ โดยการนำผลไม้ อาทิ ส้มโอ กล้วย อ้อย หอม กระเทียม กะปิ ข้าวสาร ฯลฯ ใส่ชะลอมไปถวายพระในวันขึ้น 15 ค่ำ นอกจากนี้จะเตรียมสานกระบุง ตะกร้า อีดูด อีตุ้ม อีจู้ ลัน ฯลฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือหาปลาเตรียมไว้
เดือนสิบ ออกหาปลาโดยการลงเบ็ดลงข่าย ดักตุ้ม ครั้นขึ้น 15 ค่ำ จะทำบุญตักบาตรด้วยน้ำผึ้ง ถ้าหาไม่ได้จะใช้น้ำตาลทรายขาวแทน ครั้นสิ้นเดือนสิบจะเป็นเทศกาลทำบุญสารท ชาวมอญจะตระเตรียมข้าวของขึ้นเองทุกขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ตำข้าวเม่า คั่วข้าวตอก จนกระทั่งกวนกระยาสารท เมื่อถึงวันทำบุญสารทจะตัดธงเป็นรูปต่างๆ สวยงามประดับของถวายพระอย่างงดงาม
เดือนสิบเอ็ด เทศกาลออกพรรษา ชาวมอญจะทำสำรับกับข้าวไปถวายเพลพระ ฟังเทศน์มหาชาติ และเริ่มประเพณีทอดกฐิน ผ้าป่า
เดือนสิบสอง ในเทศกาลลอยกระทง ชาวมอญบางขันหมากมีประเพณีร่วมแรงกันตามหมู่บ้านต่างๆ ประดิษฐ์กระทงใบใหญ่ถวายพระแม่คงคา เพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคาที่ได้กระทำให้แม่น้ำลำคลองสกปรก อาทิ ทิ้งขยะของเสียต่างๆ หรือแม้แต่การขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะลงในแม่น้ำลำคลอง
เดือนอ้าย ไม่ปรากฏประเพณีเป็นการเฉพาะ แต่ชาวมอญจะออกหาปลานำมาประกอบอาหารและถนอมอาหารเก็บไว้ อาทิ ปลาเค็ม ปลาย่าง ปลาส้ม ปลาจ่อม เอาไว้รับประทานในฤดูเก็บเกี่ยว ชาวมอญบางขันหมากที่เป็นผู้หญิงนิยมยกยอขนาดเล็กหาปลาในแอ่งน้ำตื้นๆ และใช้ชนางช้อนกุ้ง นอกจากนี้ยังนิยมใช้สุ่มและเบ็ดหาปลาอีกด้วย เครื่องมือหาปลาที่กล่าวมานี้ไม่เป็นที่นิยมของผู้ชาย
เดือนยี่ - สาม เป็นฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งจะมีประเพณีรับขวัญแม่โพสพ โดยนำรวงข้าวจัดเป็นรูปร่างคล้ายโคมห้อยแล้วปักไว้บนกองข้าวเปลือกในยุ้งข้าว ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าวยังพอมีปรากฏอยู่บ้าง นอกจากปลูกข้าวเจ้าพันธุ์เบาแล้ว ชาวมอญยังนิยมปลูกข้าวเหนียวเอกไว้สำหรับทำขนมบ้างเล็กๆ น้อยๆ
เดือนสี่ ประเพณีเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีโดยการเดินเท้าและมีเกวียนบรรทุกสัมภาระจำเป็นและของสำหรับตักบาตรใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
สำหรับความเชื่อในการประกอบประเพณีบางอย่างเช่น สร้างบ้าน แต่งงาน ตัดจุก-โกนผม จะจัดพิธีในเดือนสี่ เดือนหก เดือนเก้า และเดือนสิบสองเท่านั้น นอกจากนี้ยังมี
ประเพณีสงกรานต์ |
ประเพณีเทศน์มหาชาติ |
ประเพณีการไหว้ผีเรือน |
ความเชื่อเรื่องทิศ
ชาวมอญมีความเชื่อเรื่องทิศอยู่มาก อาทิ ทิศในการเดินทางแล้วมีลาภ ทิศที่งดเดินทางเพราะจะมีภัย ทิศมีชัยชนะ ทิศที่ถูกผีอำ (ผีจับกิน) ทิศในการปลูกบ้านเรือน ทิศในการปลูกต้นไม้ เป็นต้น ซึ่งชาวมอญตำบลบางขันหมากมีความเชื่อเรื่องทิศที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ทิศหัวนอน ทิศทักษิณ และทิศบูรพา
ทิศหัวบันได หันไปทางทิศอุดรเท่านั้น
ทิศคนตาย หันศีรษะคนตายไปทางทิศอุดร
ทิศสร้างบ้าน
ก. หันหน้าบ้าน บันไดบ้าน ไปทางทิศอุดรคือ ตามตะวัน เมื่อบุตรคนโตทั้งชายและหญิงแยกครอบครัวออกไปให้สร้างบ้าน ต่อไปทางทิศเหนือเรียงลำดับจากพี่ไปหาน้อง ถ้าพื้นที่มีจำกัดให้สร้างทางทิศตะวันตกเรียงพี่ไปหาน้องตามลำดับเช่นเดียวกัน
ข. ที่ดินที่จะสร้างบ้าน ห้ามมิให้อยู่ตรงกลางระหว่างผู้อื่นที่มีสกุลเดียวกันทั้งสองข้าง
ค. ที่ดินเป็นรูปเกาะเกี่ยวกันไม่นิยมสร้างบ้าน ทำนา เพาะปลูก หรือทำการค้าขาย จะไม่รุ่งเรืองทำมาค้าขายไม่ขึ้น หรืออาจจะเจ็บได้ป่วย
ง. ห้ามปลูกบ้าน แต่งงาน โกนจุก-โก๊ะ ในเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนห้า เดือนเจ็ด เดือนแปด
จ. ถ้ามีคนตายในบ้าน เมื่อจะนำไปวัดต้องนำศพลงจากบ้านทางทิศอุดรถ้าตายนอกบ้านห้ามนำเข้าบ้าน
ส่วนการละเล่นของชาวมอญบ้านขันหมากก็มีหลายอย่างเช่น การละเล่นผีสุ่มปลา การละเล่นผีทะนาน การละเล่นผีนางกวัก ฯลฯ
การศึกษาและการใช้ภาษามอญในหมู่บ้านบางขันหมากพบว่า ในอดีตมีการศึกษาภาษามอญในวัดมีพระสงฆ์เป็นผู้สอน สำนักศึกษาสำคัญคือ วัดโพธิ์หัตและวัดอัมพวัน ชายชาวมอญในอดีตส่วนใหญ่จึงอ่านและเขียนภาษามอญได้ ส่วนหญิงชาวมอญจะไม่ได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาหญิงชาวมอญจึงคงพูดภาษามอญได้เพียงอย่างเดียว เมื่อระบบการศึกษาในโรงเรียนมีบทบาทแทนวัดและพระสงฆ์ เด็กหญิงชายชาวมอญจึงได้รับการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการทำให้ผู้รู้ในการอ่านและเขียนภาษามอญลดน้อยลงเหลือแต่ผู้ที่ฝักใฝ่จริงๆ จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2530 พบว่ามีผู้อ่านเขียนภาษามอญในหมู่บ้านมอญบ้านบางขันหมากได้ไม่เกิน10 คน สำหรับการพูดภาษามอญนั้นชาวมอญบ้านบางขันหมากยังสามารถพูดได้เกือบทุกคน แม้กระทั่งเด็ก และหากชาวมอญผู้ใดมีคู่สมรสเป็นคนไทย และเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านจะสามารถพูดและเข้าใจภาษามอญได้ในที่สุด การพูดภาษามอญในหมู่บ้านจึงยังเป็นความเข้มข้นทางวัฒนธรรมอยู่มาก
ศิลปกรรมพื้นถิ่นชาวมอญบ้านบางขันหมาก
ศิลปกรรมของชาวมอญบ้านบางขันหมากที่เป็นแหล่งรวบรวมงานศิลปะของชาวมอญพื้นถิ่นบ้านบางขันหมากไว้มากที่สุดก็คือ วัด เพราะชาวมอญเป็นผู้ที่ยึดมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ชาวมอญได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดอุทิศถวายแด่พระศาสนา วัดจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางและศูนย์รวมจิตใจของชาวมอญบ้านบางขันหมากแห่งนี้ จะเห็นได้ว่ามีวัดที่เป็นวัดมอญหรือรามัญธรรมยุติในชุมชนมอญบ้านบางขันหมากอยู่ถึง 4 วัดด้วยกันได้แก่
1. วัดโพธิ์ระหัต ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2393 จัดได้ว่าเป็นวัดมอญที่เก่าแก่ที่สุดในชุมชนมอญบ้านบางขันหมาก
2. วัดกลาง ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2425
3. วัดอัมพวัน ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2415 เป็นวัดที่พระภิกษุสงฆ์จากวัดมอญอื่นๆ มักจะมารวมทำสังฆกรรมที่โบสถ์ของวัดนี้
4. วัดราษฏร์ศรัทธาธรรม หรือวัดทุ่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2430เป็นวัดมอญ เพียงวัดเดียวที่ไม่ได้สร้างอยู่ในชุมชนมอญที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำลพบุรี แต่ออกมาสร้างอยู่ที่ทุ่งนาจึงเรียกว่า "วัดทุ่ง"
การสร้างวัดในแต่ละวัดจะสร้างขึ้นในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนักและคงจะสร้างขึ้นพร้อมๆ กับกาลเวลาที่ชาวมอญบ้านบางขันหมากได้ก่อสร้างตัวลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว วัดทั้ง 4 วัดนี้ถึงแม้จะเป็นวัดมอญที่ใช้ภาษามอญในการท่องสวดและเขียนแต่องค์ประกอบทั่วๆ ไปเช่น โบสถ์ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอพระ หอฉัน หรือแม้แต่กุฏิพระ ก็มิได้แตกต่างไปจากวัดของคนไทยแต่อย่างใด จะมีอยู่บ้านก็เพียงแต่เจดีย์ที่ปรากฏรูปทรง ที่เป็นแบบมอญอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งลวดลายตกแต่งสถาปัตยกรรมบางอย่างเท่านั้น ที่จะบ่งบอกความเป็นวัดมอญและวัดไทย
ลาวแง้ว
ลาวแง้ว คือ กลุ่มพูดภาษาลาวที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เวียงจันทน์และหลวงพระบางและได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในภาคกลางประเทศไทยนานนับศตวรรษก่อน โดยการถูกกวาดต้อนรวมทั้งสมัครใจโยกย้ายถิ่นฐาน ครั้งสำคัญของการย้ายถิ่นฐานน่าจะเป็นคราวสงครามกับเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ (พ.ศ. 2369-2371) ที่ได้มีการกวาดต้อนชาวลาวจากหัวเมืองพวน เมืองเชียงขวาง เมืองเวียนจันทน์ เมืองหลวงพระบางเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรีและจังหวัดอื่นๆ มากมาย มีลาวแง้วถูกกวาดต้อนมาในคราวนั้นเป็นจำนวนมากด้วย
ถิ่นฐานสำคัญของลาวแง้วในจังหวัดลพบุรี คือที่บ้านหนองเมือง (อำเภอบ้านหมี่) บ้านห้วยโป่ง (อำเภอโคกสำโรง) บ้านท่าแค บ้านท่าศาลา บ้านดงน้อย (อำเภอเมืองลพบุรี) และมีถิ่นฐานในจังหวัดสระบุรี ที่บ้านนายาว บ้านตาลเสี้ยน บ้านส้มป่อย (อำเภอพุทธบาท) และบ้านหนองโดน (อำเภอหนองโดน) เป็นต้น ชาวไทยพวนจะเรียกคนกลุ่มนี้ (ที่มาจากเวียงจันทน์และหลวงพระบาง) ว่า "ลาวแง้ว"
อุปนิสัยชาวลาวแง้ว คือรักสงบ ซื่อสัตย์ รักความสะอาด รักสวยรักงาม มีความโอบอ้อมอารีและเป็นมิตรกับทุกคน ยึดมั่นในพุทธศาสนา ฝักใฝ่การศึกษา นิยมส่งลูกเรียนสูงๆ ในหมู่บ้านมีตำราเก่าๆ เช่นสมุดข่อย ใบลานจารอักษรไทยน้อยเขียนเรื่องนิทานทางโลก และใบลานจารอักษรธรรม เขียนบันทึกเรื่องราวพิธีกรรมทางศาสนา และเรื่องพุทธศาสนา
บ้านเรือนตั้งอยู่ชิดกันล้วนเป็นเครือญาติและมีความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันลักษณะบ้านเป็นเรือนใต้ถุนสูงแบบแตกต่างกัน 2 แบบ คือ
1. เรือนใต้ถุนสูงแบบทรงไทย มีฝาทำเป็นฝาเฟี้ยมหรือฝาปะกน หลังคาจั่วค่อนข้างแหลม ตกแต่งขอบจั่วด้วยแผ่นไม้ป้านลมและตัวเหงา
2. เรือนแฝดหลังคาทรงจั่ว ไม่สูงมากและไม่ตกแต่งขอบจั่วด้วยไม้ป้านลมและตัวเหงา หรือเรียกกันว่า "เรือนทรงลาว" ใต้ถุนเรือนมีแคร่ไม้ วางสำหรับพักผ่อนหรือรับแขก วางกี่ทอผ้าหรือเก็บเครื่องมือเครื่องใช้ พื้นที่รอบๆ บ้านปลูกพืชที่เป็นประโยชน์ทำให้บรรยากาศของหมู่บ้านร่มรื่น ชาวลาวแง้วขยันหมั่นเพียร อาชีพส่วนใหญ่ คือ การทำนา การทำไร่ เป็นต้น ยามว่าง ผู้หญิงก็จะทอผ้า แต่ผ้าที่ทอไม่ใช่ผ้าซิ่นหมี่แบบพวน จะเป็นผ้าฝ้ายธรรมดา โดยนิยมทอเป็นผ้าขาวม้า หรือผ้าสำหรับทำหมอน ผ้าห่ม ฯลฯ และเป็นการทอเพื่อใช้ในครอบครัวไม่ได้ทอเป็นอาชีพ ฝ่ายชายยามว่างมักจักสานเครื่องมือจับปลา หรือ กระบุ้ง ตะกร้า สำหรับไว้ใช้ในครัวเรือน
ประเพณีลาวแง้ว คือ ประเพณีเพาะกระจาด หรือใส่กระจาด การใส่กระจาดจะเริ่มเมื่อมีการประกาศกำหนดงานบุญมหาชาติ โดยแต่ละหมู่บ้านจะกำหนดไม่ตรงกัน หมู่บ้านใดตรงถึงวันกำหนดวันทำบุญ แต่ละบ้านจะทำขนมเส้นหรือขนมจีบ และข้าวต้มมัดเพื่อเตรียมไว้สำหรับวันงาน วันริ่มแรกของการทำบุญ เรียกว่า "วันตั้ง" ในวันตั้งนี้หมู่บ้านที่ยังไม่ทำบุญก็จะนำผลไม้ เช่น กล้วย อ้อย ส้ม ฯลฯ ไปยังบ้านที่มีงานโดยหนุ่มสาวจะแต่งตัวสวยงามเดินทางเป็นกลุ่มๆ การร่วมงานบุญ นั้นอาจใช้ผลไม้ต่างๆ ที่นำมาหรือเงินก็ได้ และอาจมีธูปเทียนใส่พานนำไปให้เจ้าของบ้าน การนำเอาของมาร่วมสมทบทำบุญ เรียกว่า "ใส่กระจาด" เจ้าของบ้านเลี้ยงอาหารแก่แขก และเมื่อแขกกลับก็จะให้ข้าวต้มมัดเป็นของตอบแทน ประเพณีการใส่กระจาดนี้ หนุ่มสาวจะได้มีโอกาสพบปะ พูดคุยกันโดยพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ขัดขวาง วันรุ่งขึ้นจากวันตั้งก็จะเป็นวันเทศน์มหาชาติโดยแต่ละบ้านจะจับสลากกันว่าบ้านไหนจะได้ติดกัณฑ์เทศน์มหาชาติกัณฑ์ไหน สถานที่ก็จัดเตรียมและตกแต่งอย่างสวยงามให้มีบรรยายกาศคล้ายป่าหิมพานต์ ประดับไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ รังผึ้ง เครื่องจักรสานเป็นสัตว์ต่างๆ หรือทำด้วยกระดาษสวยงาม การเทศน์จะเริ่มขึ้นในตอนเที่ยงคืนของวันตั้ง โดยต้องเทศน์ให้เสร็จภายใน 1 วัน ปัจจุบันงานบุญเพาะใส่กระจาดก็ยังคงมีอยู่
ไทยพวน
ความเป็นมา
พวน ชาวพวน หรือไทยพวน เป็นกลุ่มชนที่มีอยู่กระจัดกระจายหลายจังหวัดในประเทศไทย ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวพวนอยู่ที่เมืองพวน ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ชาวพวนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งที่ไทยยกทัพไปปราบฮ่อ ซึ่งชาวพวนที่อพยพมาแต่ละครั้งจะกระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น สุพรรณบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ราชบุรี สุโขทัย ฉะเชิงเทรา เป็นต้น สำหรับชาวพวนที่เข้าไปตั้งรกราก ในจังหวัดลพบุรีนั้น จะตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลบ้านเซ่า อำเภอสนามแจง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบ้านหมี่
ชาวพวนในอำเภอบ้านหมี่นั้นอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยสมัยใดยากที่จะกำหนดให้แน่ชัดได้ แต่ชาวไทยพวนบ้านหมี่ที่สูงอายุบอกเล่าต่อกันมาถึงเหตุที่อพยพมาเพราะหนีพวกฮ่อ และพวกแกว และจากหลักฐานด้านวัตถุประกอบคำบอกเล่าดังกล่าว ทำให้ทราบว่าชาวไทยพวนอพยพเข้ามาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า มากที่สุด และรองลงไปคือ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
วิถีชีวิตและภาษา
ชาวพวนมีนิสัย รักความสงบ ใจคอเยือกเย็น มีความโอบอ้อมอารี ยึดมั่นในศาสนา รักอิสระ มีความขยันขันแข็งในการการประกอบอาชีพ เมื่อว่างจากการทำไร่ทำนาก็จะทำงานหัตถกรรม คือ ผู้ชายจะสานกระบุง ตะกร้า เครื่องมือหาปลา ส่วนผู้หญิงจะทอผ้า ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบันคือ ผ้ามัดหมี่ลพบุรี
อาหาร ของชาวไทยพวนที่มีประจำทุกครัวเรือนคือ ปลาร้า เมื่อมีงานบุญมักนิยมทำขนมจีน และข้าวหลาม ส่วนอาหารอื่น ๆ จะเป็นอาหารง่าย ๆ ที่ประกอบจากพืชผัก ปลา ที่มีในท้องถิ่น เช่น ปลาส้ม ปลาส้มฟัก เป็นต้น ในด้านความเชื่อนั้น ชาวพวนมีความเชื่อเรื่องผี จะมีศาลประจำหมู่บ้านเรียกว่า ศาลตาปู่ หรือศาลเจ้าปู่บ้าน รวมทั้งการละเล่นในเทศกาลก็จะมีการเล่นผีนางด้ง ผีนางกวัก ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวพวนคือ ประเพณีใส่กระจาด ประเพณีกำฟ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงการสักการะฟ้า เพื่อให้ผีฟ้า หรือเทวดาพอใจ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ
วัฒนธรรมด้านภาษา ชาวพวนจะมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน แต่ปัจจุบันภาษาเขียนจะไม่มีคนเขียนได้ ยังคงเหลือเพียงภาษาพูด ซึ่งมีสำเนียงคล้ายเสียงภาษาถิ่นเหนือ อักษร "ร " ในภาษาไทยกลาง จะเป็น "ฮ" ในภาษาพวน เช่น รัก - ฮัก หัวใจ - หัวเจอ ใคร - เผอ ไปไหน - ไปกะเลอ
ปัจจุบันชาวพวนในจังหวัดลพบุรียังคงสภาพความเป็นสังคมเกษตรกรรม ยังมีความผูกพันกัน แน่นแฟ้นในหมู่ชาวพวน และมีความสัมพันธ์อันดีกับชาวไทยกลุ่มอื่น ทั้งยังคงพยายามรักษาประเพณี วัฒนธรรมของเผ่าพันธ์อย่างดีแต่เพราะความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ และสภาพสังคม เศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนไป ทำให้วิถีชีวิตของชาวพวนเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง เช่น ภาษาพูด คนหนุ่มสาวจะนิยมพูดภาษาไทยกลาง แม้จะอยู่ในหมู่เดียวกัน หรือประเพณีพื้นบ้านบางอย่างก็มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจ เช่น แต่เดิมประเพณีใส่กระจาด ประเพณีเทศน์มหาชาติ จะจัดทำทุกปี และมีการทำอาหารเลี้ยงดู และใส่กระจาดกันทุกบ้านปัจจุบันจะไปใส่กระจาดกันที่วัดหากปีใดเศรษฐกิจไม่ดี ก็งดใส่กระจาด เป็นต้น และนิยมทำบุญด้วยเงินมากกว่าสิ่งของตามความนิยมของสังคมปัจจุบัน
2023 © Thepsatri Rajabhat University