สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เริ่มจัดตั้งขึ้นที่พระที่นั่งจันทรพิศาล เมื่ื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2467 ในอดีตชื่อเรียกว่า "ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน" ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์คือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงในความรู้เกี่ยวกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ และหมู่ตึกพระประเทียบบางหลังใช้เป็นอาคารจัดแสดงของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ได้จัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุและนิทรรศการตามอาคารต่างๆ ในบริเวณพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ดังนี้
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอาคารหลักของการจัดแสดง(อาคารสูง 3 ชั้น)
ชั้น1 จัดแสดงนิทรรศการถาวร 2 เรื่อง คือ
1.เรื่องศิลปโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ภาคกลางของประเทศไทย โบราณวัตถุที่แสดงส่วนใหญ่ได้จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค อ.เมือง จ.ลพบุรี เมื่อพ.ศ.2523 และ2526 มีภาชนะดินเผา พร้อมด้วยโครงกระดูกมนุษย์จำนวน 3 โครง ฯลฯ
2.เรื่องอารยธรรมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา พ.ศ.700-1400 เป็นการจัดแสดงประวัติศาสตร์สังคมยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ใช้ชื่อสมมติว่า "สมัยทวารวดี" นำเสนอเรื่องการตั้งถิ่นฐาน มีภาพถ่ายทางอากาศ และแสดงรูปของการสร้างเมือง แสดงโบราณวัตถุที่ทำจากต่างประเทศแต่พบในประเทศไทย เรื่องเทคโนโลยีและการดำเนินชีวิต เรื่องเครื่องประดับร่างกาย ฯลฯ
จากนั้นจะเป็นห้องแสดงเรื่อง การขุดแต่งวัดนครโกษาที่กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งเมื่อ พ.ศ.2530 และได้พบว่าฐานของสถูปองค์กลางที่มีกองดินทับถมนั้น เมื่อลอกดินออกได้พบลวดลายปูนปั้นประดับตกแต่งฐานมากมายหลายรูปแบบ รวมถึงโบราณวัตถุต่างๆ เช่น พระพิมพ์ เศียรพระพุทธรูปมีอายุราวพุทธศตวรรษที่13-14 จัดมุมแสดงเรื่องอักษรและภาษา แสดงจารึกบนแท่งหินแผ่นดินเผาโดยใช้อักษรที่นำมาจากอินเดีย ห้องแสดงเรื่องศาสนาและความเชื่อจัดแสดงรูปเคารพเรื่องศาสนาฮินดู ที่น่าสนใจมากที่สุดเท่าที่มีในประเทศไทยก็คือ การจัดแสดงเรื่องสมัยประวัติศาสตร์ยุคแรก(สมัยทวารวดี)
ชั้น2 หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏ ห้องแรกจัดแสดงเรื่องสมัยอิทธิพลเขมร อายุราว พ.ศ.1500-1800 แสดงสถาปัตยกรรมทำด้วยหินทรายแบบเขมร เช่นทับหลังสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ศิลาจารึกอักษรและภาษาเขมรที่พบที่เมืองลพบุรี ในส่วนที่เคยเป็นท้องพระโรงเล็ก จัดแสดงรูปสลักหินทรายที่มีขนาดใหญ่ โดยมากเป็นพระพุทธรูปนาคปรกปางสมาธิขนาดใหญ่ที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่างชัดเจน จึงเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรี ฯลฯ
ชั้น3 จัดแสดงเป็นห้องที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในฐานะที่พระองค์ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์นี้ และเคยประทับอยู่ทางพิพิธภัณฑ์จึงได้จัดแสดงพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของพระองค์ รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้มีพระบรมฉายาลักษณ์ ฉลองพระองค์ พระแท่นบรรทม ตราประจำพระองค์ ฯลฯ
ส่วนทางด้านห้องสุดท้ายของอาคารจัดเป็น "หอศิลปะ" มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เห็นวิวัฒนาการของงานศิลปะไทยสมัยใหม่ที่เป็นแบบสากลในยุคปัจจุบัน โดยมีผลงานของจิตรกรจัดแสดงให้ชม เช่นงานของ อังคาร กัลยาณพงศ์
พระที่นั่งจันทรพิศาลภายในพระที่นั่งแบ่งเป็นท้องพระโรงหน้า และท้องพระโรงใน ในส่วนของท้องพระโรงหน้าได้จัดแสดงเรื่องราวสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีรูปวาดสีน้ำมันในเหตุการณ์เมื่อครั้งมีการเข้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่14 แห่งประเทศฝรั่งเศส ต่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ ท้องพระโรงที่พระบรมราชวัง (อ.จำรัส เกียรติก้อง วาดภาพจากต้นฉบับพ.ศ.2509) และภาพประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เช่นภาพออกพระวิสุทธิสุนทร(โกษาปาน) ภาพแผนที่แสดงเส้นทางการเดินทางไปและกลับจากฝรั่งเศสสู่สยามของราชฑูต ภาพแผนที่กรุงศรีอยุธยา ภาพแห่เรือ นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุที่มีอายุในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และโบราณวัตถุส่วนหนึ่งที่ขุดพบในบ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ สำหรับในส่วนท้องพระโรงด้านในจะพบตู้พระธรรม ธรรมาสน์ที่มีอายุสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์
หมู่ตึกพระประเทียบ(อาคารจัดแสดงของใช้พื้นบ้าน) เป็นบริเวณเขตพระราชฐานชั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บางตึกได้รับการปรังปรุงเป็นห้องจัดแสดงถาวรคือ อาคารที่เคยเป็นห้องเครื่อง(ห้องครัว) ปัจจุบันแสดงเป็นศิลปวัตถุพื้นบ้านของท้องถิ่นนี้ เป็นกระท่อมชาวนา เครื่องมือการเกษตร เครื่องมือจับปลา พร้อมทั้งยังได้ชมเทคโนโลยีในระดับ "ภูมิปัญญาชาวบ้าน" เช่นการตีเหล็ก การปั้นหม้อ การทอผ้าโดยใช้กี่แบบพื้นเมือง
อาคารพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ จัดแสดงหนังใหญ่เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งได้มาจากวัดตะเคียน
ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์-อังคาร ตั้งแต่เวลา 8.30-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ถนนสรศักดิ์ ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี 15000 โทร.036411458
พิพิธภัณฑ์ : แหล่งความรู้พิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์คืออะไร "พิพิธภัณฑ์" แปลรวมได้ความว่า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ นานาที่เก็บรวบรวมไว้เพื่อการชื่นชมและศึกษาหาความรู้ เช่นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุเป็นต้น "สถาน" หมายถึง สถานที่แหล่งที่ตั้งปราการ เป็นคำเติมท้ายสถานที่สำคัญ สำหรับคำว่า "พิพิธภัณฑ์" ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า "Museum"
พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ในรัชกาลที่ 4 ทรงสนพระทัยวิชาประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ครั้นเมื่อทรงผนวช เป็นสมณเพศ ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นเหตุให้ทรงทอดพระเนตรโบราณวัตถุสถานแบบสมัยต่างๆ และทรงศึกษาหาความรู้มากขึ้น ทั้งยังทรงห่วงใยมรดกทางศิลปอันล้ำค่ากลัวจะสูญหายไป จึงทรงเก็บรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆ เข้ามาไว้ที่กรุงเทพฯ เช่นศิลาจารึกสุโขทัย พระแท่นมนังคศิลา และอื่นๆ อีกมาก
ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติจึงเป็นโอกาสให้พระองค์สามารถดำเนินงานจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ "พระที่นั่งราชฤดี" เป็นตัวตึกแบบฝรั่ง มีพื้นที่ใช้สอยสำหรับเป็นที่ประทับว่าราชการ เมื่อเวลาว่างออกขุนนาง พร้อมทั้งยังใช้เป็นที่ตั้งแสดงโบราณศิลปวัตถุ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเก็บรวบรวมไว้ตลอด จนสิ่งของที่นานาประเทศสั่งเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายเป็นราชไมตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์" มีขนาดใหญ่กว่าพระที่นั่งราชฤดี และโปรดเกล้าฯให้ย้ายสิ่งของทั้งหมด จากพระที่นั่งราชฤดีมาไว้ที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด
นอกจากการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์อธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมากถือได้ว่าพระองค์ เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย ทั้งยังทรงเป็นผู้บัญญัติคำ "พิพิธภัณฑ์" ขึ้นใช้
พิพิธภัณฑ์สถานสำหรับประชาชน
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานขึ้นที่ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2417 นิยมเรียกทับศัพท์กันว่า "หอมิวเซี่ยม" ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ และในทุกๆ ปี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดนิทรรศการพิเศษ (Special Exhibition) ทั้งยังเปิดโอกาสให้ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พระภิกษุ และราษฎร นำสิ่งของต่างๆ มาตั้งแสดงหากของชิ้นใดงดงามแปลกประหลาดเป็นที่พอพระราชหฤทัย ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรางวัลแก่เจ้าของ
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรเมืองโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว บางครั้งเมื่อทอดพระเนตรเห็นโบราณศิลปวัตถุที่มีค่าถูกปล่อยทิ้งเกรงจะชำรุดเสียหายจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำลงมาเก็บรักษาที่กรุงเทพฯ ส่วนเมืองต่างๆ ที่มีศิลปะโบราณวัตถุ ก็ให้นำสิ่งของเหล่านั้นมาเก็บไว้ที่ศาลากลาง ซึ่งเมื่อมีจำนวนมากขึ้นก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์
ครั้นถึง พ.ศ.2430 ทรงโปรดเกล้าฯให้ย้ายพิพิธภัณฑสถานจากศาลาหัยสมาคมไปตั้งที่พระที่นั่งตอนหน้า 3 องค์ (พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ) กิจการพิพิธภัณฑ์ได้ขยายเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร และมีบทบาทเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนที่ไปมากขึ้น ต่อมวันที่ 4 ธันวาคมพ.ศ.2432 โปรดตั้งเป็นกรมพิพิธภัณฑ์สังกัดกรมศึกษาธิการ และโปรดให้กรมพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาอยู่ในสังกัดของกระทรวงธรรมการ และได้เปิดพิพิธภัณฑ์สถานให้ประชาชนได้ชมกัน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ครั้นถึง พ.ศ.2450 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าจัดตั้ง "โบราณคดีสโมสร" สำหรับสมาชิกที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ และวัฒนธรรม
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสนับสนุนกิจการพิพิธภัณฑสถาน และแต่งตั้งให้กรรมการหอสมุดสำหรับพระนครมีหน้าที่รับผิดชอบโบราณวัตถุสถานอีกอย่างหนึ่งเพราะงานหอพระสมุดที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเรื่องทาง โบราณคดีอยู่แล้ว จึงได้มี "ประกาศจัดการตรวจรักษาของโบราณ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2466" นับเป็นประกาศฉบับแรก ที่กล่าวถึงงานสงวนรักษาโบราณวัตถุสถานในพระราชอาณาจักรอันเป็นต้นแบบแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยโบราณวัตถุสถานและพิพิธภัณฑสถานสมัยต่อมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีพระราชบัญญัติโอนพิพิธภัณฑสถาน ให้อยู่ในความปกครองของหอพระสมุดสำหรับพระนคร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา "ราชบัณฑิตยสภา" ขึ้น เพื่อทำหน้าที่บำรุงกิจการทางวรรณคดี โบราณคดี และศิลปากร หอสมุดสำหรับพระนคร และพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จึงอยู่ในความรับผิดชอบของราชบัณฑิตยสภาด้วย
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2469 ได้ตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับโบราณวัตถุและศิลปะวัตถุประกาศออกมาใช้ ส่วนวันที่ 3 พฤษภาคม 2476 มีพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นใหม่ โปรดเกล้าฯ ให้โอนงานธุรการทั้งหมดจากราชบัณฑิตยสถานมาอยู่ในสังกัดพิพิธภัณฑสถาน สำหรับพระนครเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ในเวลาต่อมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ออกประกาศใช้ และนับตั้งแต่ พ.ศ.2504 เป็นต้นมากิจการพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย ได้พัฒนาขยายตัวออกไปมาก
การจัดแบ่งประเภทของพิพิธภัณฑ์
ปัจจุบันเกิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นมากมาย และมีเกือบทุกประเภท นักวิชาการบางท่านได้กำหนดประเภทของพิพิธภัณฑ์แบ่งกว้างๆ เพียง 2 ประเภทคือ
1. พิพิธภัณฑ์ประเภทวัฒนธรรม (Cultural Museum) คือ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องทางวัฒนธรรมของมนุษย์ทั้งหมด
2. พิพิธภัณฑ์ประเภทวิทยาศาสตร์ (Science Museum) คือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวข้องกับทางด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหมด หรือเกี่ยวข้องกับสาขาวิทยาศาสตร์
บทบาทของพิพิธภัณฑ์กับการศึกษา
การศึกษาเป็นการพัฒนาคนในทุกๆ ด้าน ไม่เฉพาะเพียงให้ความรู้เท่านั้น ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ได้อยู่เพียงที่นักเรียนแต่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมทุกแห่ง และพิพิธภัณฑสถานก็เป็นสถานที่ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่สามารถพัฒนาในเรื่องความคิด ความเข้าใจ คุณค่า ทัศนคติได้อย่างกว้างขวาง
พิพิธภัณฑสถานเป็นสถานที่จัดแสดงวัตถุในแขนงวิชาต่างๆ และปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการทางสังคม
วัตถุประสงค์ของการศึกษาในพิพิธภัณฑสถาน คือ ให้ความรู้โดยอาศัยหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ความคิดความอยากรู้อยากเห็น สร้างแรงจูงใจสร้างความประทับใจให้เห็นคุณค่า สร้างทัศนคติที่ดีและถูกต้องแก่ผู้ชม
ความสำคัญของพิพิธภัณฑ์กับการเรียนรู้ของนักเรียน
การศึกษาในพิพิธภัณฑ์มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดใช้เหตุผล สร้างทัศนคติที่ดี และสร้างความรู้สึกเร้าความสนใจในวิทยาการแขนงต่างๆ ให้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริง ฝึกทักษะในการศึกษาค้นคว้า มีความคิดพิจารณารอบคอบกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ สร้างนิสัยให้ตื่นตัวในการศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
วัดบ้านกล้วย
วัดบ้านกล้วยหรือวัดกัทลีพนาราม ตั้งอยู่ในเขต ต.บ้านกล้วย อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี อยู่ห่างจากตลาดบ้านหมี่ ประมาณ 2 กิโลเมตร ตามถนนสายบ้านหมี่-โคกสำโรง
ต่อมาวัดนี้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดกัทลีพนาราม" สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้คือ มีพระอุโบสถขนาดใหญ่ แบบจตุรมุข ซึ่งมีความสวยงามมาก
วัดท่าแค
วัดท่าแค ตั้งอยู่ที่บ้านท่าแค หมู่ที่ 5 ตำบลท่าแค อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
วัดท่าแคสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2357 ภายในวัดมีอาคารสำคัญทางสถาปัตยกรรมคือ "หอพระไตรปิฎก" หอพระไตรปิฎกนั้นเป็นที่เก็บพระธรรม และโดยปกติจะสร้างบนเสาสูง ตั้งอยู่ในสระน้ำเพื่อให้ปลอดภัยจากปลวก แมลง รวมทั้งป้องกันไฟไหม้ด้วย สำหรับหอไตรวัดท่าแคมีลักษณะแตกต่างจากหอไตรที่วัดอื่น คือ แทนที่จะสร้างเป็นแบบจารีตนิยม ( คือ เป็นสถาปัตยกรรมทรงไทย )แต่กับสร้างเป็นเรือนไม้ ตั้งอยู่บนเสาสูงเป็นจตุรมุข มีหลังคาลดชั้น ทรงจตุรมุขเช่นกัน และที่จุดเชื่อมตรงกึ่งกลางของหลังคา ทำหลังคาเป็นรูปครอบกรวย เทินไว้ข้างบนคล้ายแบบหลังคาทรงปราสาท ตกแต่งหลังคาและซุ้มระเบียงด้วยแผ่นไม้ไผ้ แกะสลักแบบตะวันตก ฝาผนังเป็นฝาไม้พับได้แบบจีนเรียกว่า "ฝาเฟี้ยม" แกะสลักลวดลายแบบจีน บางส่วนติดกระจกสี ภายในห้องเป็นตู้เก็บพระไตรปิฎก กล่าวได้ว่า เป็นแนวความคิดสร้างอย่างแท้จริงของช่าง ในการก่อสร้างหอไตรหลังนี้ ได้มีการผสมผสานระหว่างแนวคิดแบบไทย ผสมผสานกับแนวตะวันตก และแบบจีน คือ
![]() |
|
หอไตร |
บริเวณโดยรอบๆ วัดมีชุมชนตั้งอยู่เป็นชุมชนที่เรียกตัวเองว่า "ลาวหลุมข้าว" ประวัติการตั้งชุมชนโดยมีผู้ค้นคว้าไว้ว่า "ได้อพยพหนีสงครามจากเวียงจันทร์ มาอยู่ที่วัดสนามจีน (สนามจีนหรือสนามไชย) ซึ่งใกล้แม่น้ำลพบุรี คนลาวไม่คุ้นกับการข้ามเรือจึงย้ายมาอยู่ที่โคกลาว (ใกล้ห้วยขี้หรือห้วยมูล) ต่อมาเกิดน้ำท่วม จึงอพยพมาอยู่ที่ท่าแค ซึ่งเป็นที่ราบสูง บางคนจึงเรียก "โคกท่าแคหรือโคกแม่หม้ายเศรษฐี" "
วัดตองปุ
![]() |
![]() |
อุโบสถ | วิหาร |
วัดตองปุ ตั้งอยู่หลังโรงเรียนพิบูลวิทยาลัยเป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญวัดหนึ่งในอดีตเคยเป็นที่ชุมนุมของกองทัพไทย ในวัดตองปุนี้มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น พระอุโบสถ วิหาร หอไตร คลัง และหอระฆัง ล้วนเป็นสถาปัตยกรรม ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในพระอุโบสถและพระวิหารมีจิตกรรม ฝาผนังเขียนรอบทั้งสี่ด้าน ล้วนเป็นภาพที่หาดูได้ยาก นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ ลักษณะคล้ายกับเจดีย์หลวงพ่อแสง วัดมณีชลขัณฑ์ แต่มีขนาดเล็กกว่า มีสัดส่วนงดงาม เหมาะเจาะยิ่งนัก
2023 © Thepsatri Rajabhat University