สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

          เครื่องแต่งกายของชาวสยามเป็นที่สะดุดตาและสนใจสำหรับชาวต่างชาติมาหลายยุคสมัย หากย้อนกลับไปถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชาวต่างชาติจากฝรั่งเศสก็สนใจ “ชุดไทย” (เครื่องแต่งกาย) ของสตรีสยาม โดยบันทึกของลาลูแบร์ ราชทูตจากฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่า ชาวสยามสมัยนั้นนุ่งน้อยห่มน้อย สตรีก็ “ปล่อยล่อนจ้อน”
          เรื่องราวของเครื่องแต่งกายหรือที่คนสมัยใหม่มักสนใจและคุ้นเคยกับคำว่า “ชุดไทย” นั้น แต่ละคนมีภาพจำที่แตกต่างกันออกไปจากประสบการณ์และการเสพรับข้อมูลจากแหล่งต่างๆ หากพูดถึงการแต่งกายสมัย “สมเด็จพระนารายณ์” ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ตามการบันทึกของลาลูแบร์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ในคณะทูตานุทูตฝรั่งเศสชุดที่ 2 ที่เข้ามาถึงสยาม พ.ศ. 2230 และรจนาในปี พ.ศ. 2231 ก็บันทึกเครื่องแต่งกายไว้ว่า ชาวสยามไม่ใคร่จะพอใจหุ้มห่อกายนัก
     
         ลาลูแบร์ เปรียบเทียบกับการแต่งกายของชนชาติอื่นที่แทบจะเปลือยกาย ขณะที่ในความเห็นของลาลูแบร์ ที่ชาวสยามไม่ใคร่พอใจนุ่งห่มนั้น เป็นเพราะ “อาการสะเพร่า และอากาศร้อนจัด”
          ลาลูแบร์ เดินทางมาถึงสยาม เมื่อ พ.ศ. 2230 อาศัยในสยามประมาณ 3 เดือน และได้จดบันทึกบรรยายสภาพของสยามไว้หลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ เรื่องการแต่งกายของชาวสยาม
          จดหมายเหตุลาลูแบร์ ฉบับแปลไทยมี 2 ฉบับ คือฉบับสันต์ ท.โกมลบุตร และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงพระนิพนธ์แปล ในที่นี้ขอยกสำนวนฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ มากล่าวอ้าง ในส่วนเครื่องแต่งกายของสตรีที่ลาลูแบร์ บรรยายนั้น ระบุว่า ผู้หญิงนุ่งผ้าตามยาววงรอบตัว อย่างเช่นผู้ชาย แต่ปล่อยผ้าตามกว้างคลุมลงมาถึงหน้าแข้ง คล้ายกระโปรงส่ายของฝรั่ง ขณะที่ผู้ชายนุ่งโจงกระเบนม้วนตลบกลับไปข้างหลังระหว่างขา
          “...นอกจากผ้านุ่งแล้ว ผู้หญิงก็ปล่อยล่อนจ้อน ด้วยธรรมเนียมสตรีไม่มีเสื้อครุย (ฝรั่งเรียกเสื้อเชิ้ต) ชั่วแต่คนที่มั่งมีศรีสุขจึ่งจะใช้สะไบห่มอีกผืนหนึ่ง บางที่ห่มคาดนมปัดชายสะไบเฉียงบ่า แต่สตรีที่สุภาพราบเรียบ มักใช้สะไบตะแบงมานพันขนองกลางสะไบ ปัดชายทั้งสองมาสพักอุระ พาดสองบ่าปล่อยชายห้อยเฟื้อยปลิวลงไปข้างหลัง (อย่างผ้าห่มนางละครรำ)...”

 

 

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง