สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

ต้นหางนกยูง

          สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยคือเอกลักษณ์ของสถาบันเป็นสิ่งที่ร้อยใจนักศึกษาให้มีความผูกพัน มีความรักและความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติยศ และเป็นสิริมงคลแก่มหาวิทยาลัยและชาวเทพสตรี ต้นหางนกยูงคือต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งซึ่งมีที่มาที่น่าสนใจดังนี้

ความเป็นมาของต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย

          สำหรับต้นหางนกยูง ถือเป็นต้นไม้และดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เนื่องจากเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 เป็นวันที่สำคัญของชาติและเป็นวันที่สำคัญของชาวเมืองลพบุรี เพราะจอมพล ป. และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม จะเป็นประธานเปิดสถานที่ทุก ๆ แห่ง ที่สร้างขึ้นในเมืองไทย คือ ศาลากลางจังหวัด ค่ายทหารและสถานศึกษา รวมทั้ง โรงเรียนสตรีลพบุรี “เทพสตรีวิทยาลัย” ด้วย ครูใหญ่ในขณะนั้น คือ คุณครูพิศ(อรพินท์) สังขะฤกษ์ และครุในโรงเรียน ซึ่งขณะนั้นมี 3 คน คือ คุณครูอำนวย ทองอยู่ คุณครูอุดม แผลงศร และคุณครูศิริณี ตาละลักษณ์ ช่วยกันขนย้ายสัมภาระและนักเรียนฝึกหัดครู ซึ่งมี 24 คน มาอยู่ในโรงเรียนใหม่ที่มีเนื้อหากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาประมาณ 200 ไร่ เมื่อถึงวันเปิดโรงเรียน คุณครูศิริณี ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 19 ปี ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอนเปิดโรงเรียนเป็นปฐมฤกษ์

          ในช่วงนั้นเทพสตรีกันดารน้ำ แต่บรรดาครูผู้หญิงพยายามพลิกฟื้นให้สดชื่นด้วยการปลูกต้นซ่อนกลิ่นรอบ ๆ บริเวณเสาธง จนมีดอกส่งกลิ่นหอม แต่วันหนึ่งก็มีทหารหนุ่มคนหนึ่งมาแจ้งว่าท่านจอมพลของให้ตัดต้นซ่อนกลิ่นออกให้หมด และท่านให้ต้นหางนกยูงมาปลูกแทน จึงทำให้บริเวณโรงเรียนมีสีสันเจิดจ้าด้วยดอกหางนกยูงบานตลอดสองข้างทางเข้า ดอกหางนกยูงที่ออกดอกบานรับนักเรียนในยามเปิดภาคเรียน จึงเป็นสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน

ut00000010 ut00000002 ut00000001

          ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภิตร อนุศาสน์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ 75 ปี ราชภัฏเทพสตรี ความว่า ต้นไม้สถาบันราชภัฏเทพสตรีมีต้นหางนกยุงเป็นสัญลักษณ์ ศิษย์เก่าเทพสตรี มักจะเรียกตัวเองว่า “ลูกแม่ยูง” หนังสือที่ระลึกในหลาย ๆ โอกาสก็ใช้ชื่อว่า “กลีบยูง”บ้าง “ยูงรำแพน” บ้าง แม้แต่งานสมบัติไทยที่จัดขึ้นในสมัยที่ รศ.สุรพันธ์ ยันต์ทอง เป็นอธิการก็ใช้ชื่องานว่า “สมบัติไทย – ยูงทอง” อาจารย์ศิริณี ตาละลักษณ์ ได้เขียนเล่าประวัติของต้นหางนกยูงไว้ว่า คุณครูใหญ่พิศ (อาจารย์อรพินธ์ ศังขะฤกษ์ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสตรีลพบุรี “เทพสตรีวิทยาลัย” พ.ศ. 2481 – 2489) ชวนครูของโรงเรียนเทพสตรีวิทยาลัยปลูกต้นไม้หน้าเสาธงต้นไม่ที่คณะครูนำมาปลูกคือต้นซ่อนกลิ่น แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขอร้องให้ถอนออกและให้นำต้นหางนกยูงมาปลูกแทน อาจารย์ศิริณี ได้เล่าที่มาของ”ต้นหางนกยูง” ไว้อย่างน่าสนใจมองเห็นภาพชัดเจน ดังนี้ “ความอัตคัดน้ำในครั้งกระนั้น ทั้งครูและศิษย์ หากมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันจะเป็นพยานได้ดี คุณครูใหญ่พิศ ท่านก็หานิ่งนอนในไม่ ท่านได้ชวนพวกครูประจำปลูกต้นไม้หน้าเสาธง เราได้ลงต้นซ่อนกลิ่นโดยรอบจนมีดอกหอม แต่อนิจจาในวันหนึ่ง มีนายทหารหนุ่มท่านหนึ่งมาแจ้งให้ทราบว่า ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขอร้องให้ถอนออกให้หมด และท่านให้หาต้นหางนกยูงมาปลูกแทน ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่ปีต่อมา ภายในบริเวณโรงเรียนจึงมีสีแดง เจิดจ้าด้วยนกยูงบานสลอนสองข้างทาง จากประตูหน้าโรงเรียนจนถึงบริเวณตึกเรียนของเรา”

ut00000007 ut00000006

ต้นหางนกยูง มุมด้านหน้า ทางซ้าย อาคาร 2 (หรือบริเวณวงเวียนเสาธง วิทยาลัยครูเทพสตรี ) ประมาณปี 2503

ลักษณะของต้นหางนกยูง

          หางนกยูง (อังกฤษ: Flam-boyant, The Flame Tree, Royal Poinciana) หรือที่เรียกว่า นกยูง, นกยูงฝรั่ง, ชมพอหลวง, ส้มพอหลวง (ภาคเหนือ), หงอนยูง (ภาคใต้), อินทรี (ภาคกลาง), พันธุ์ไม้จากทวีปแอฟริกาอยู่ในวงศ์พืชตระกูลถั่ว เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบในหน้าแล้ง ทรงพุ่มต้นแผ่กว้าง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ดอกเป็นช่อออกที่ปลายกิ่ง มีกลีบห้ากลีบ สีแดงจัดจนถึงสีส้ม ฝักเป็นลักษณะฝักถั่วแบนยาว เมื่อแก่จะเป็นฝักแห้งแข็งสีดำ

          ในประเทศไทยมีผู้นำเข้ามาปลูกเพื่อความสวยงาม โดยปัจจุบันมีต้นหางนกยูงสองชนิดคือ หางนกยูงฝรั่งและหางนกยูงไทยที่เป็นไม้พุ่มและดอกสีสดใสหลากสี เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ต้นโตเต็มที่สูงราว 12 – 18 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างทรงกลมคล้ายร่ม แผ่กิ่งก้านออกคล้ายก้ามปู แต่มีขนาดเล็กกว่า ลำต้นเกลี้ยง เปลือกสีน้ำตาลอ่อนอมขาวถึงสีน้ำตาลเข้ม โคนต้นเป็นพูพอน มักมีรากโผล่พ้นดินออกโดยรอบ เมื่อโตเต็มที่ ใบเป็นใบประกอบขนนกสองชั้นเรียงเวียนสลับและมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน ขนาดใบย่อยใกล้เคียงกับใบย่อยของมะขาม แผ่นใบรูปขอบขนาน ปลายกลมโคนเบี้ยว ผิวใบเกลี้ยง เป็นพืชผลัดใบ ในประเทศไทยมักผลัดใบในฤดูร้อนช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน

          ออกดอกดกและทิ้งใบทั้งต้น เหลือแต่ดอกบานสะพรั่งดูงดงามเป็นพิเศษ ช่อดอกออกตามปลายกิ่ง และตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ และเกสรตัวผู้ยาวงอนออกมาเหนือกลีบดอก กลีบดอกหางนกยูงความจริงประกอบด้วยสี 2 สี คือสีแดงและสีเหลือง แต่ส่วนใหญ่จะมี 2 สีนี้อยู่ด้วยกันจึงเห็นเป็นสีแสด ดอกใดที่สีเหลืองมากกว่าก็เป็นสีแสดออกเหลือง ดอกใดสีแดงมากกว่าก็เป็นสีแสดออกแดง แต่ก็มีหางนกยูงบางต้นออกดอกสีแดงแท้ๆ และบางต้นออกดอกสีเหลืองบริสุทธิ์ซึ่งหาได้ยาก โดยทั่วไปจึงพบแต่หางนกยูงฝรั่งสีแสด ทั้งนี้ผลของหางนกยูงฝรั่งเป็นฝักแบนโค้งรูปดาบ และเมล็ดเรียงตามขวาง

utDSC 4226 resize utDSC0028901

          ปัจจุบันต้นหางนกยูงในมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ยังคงมีให้เห็นอยู่ที่บริเวณด้านข้างโรงยิม หน้าอาคาร 4 คณะครุศาสตร์ และบริเวณริมรั้วด้านหน้ามหาวิทยาลัย เนื่องจากในปัจจุบันนั้นมีการสร้างอาคารและปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อรองรับนักศึกษาที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จนทำให้คนเทพสตรีรุ่นใหม่อาจจะลืมว่าต้นหางนกยูง คือต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย

ภาพ ปี 2562

utIMG 3829 utIMG 3834 utIMG 3906

utIMG 3875 utIMG 3893 utIMG 3807

utIMG 3769 utIMG 3802 utIMG 3760

utIMG 3761 utIMG 3818 utIMG 3821

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

กวี ศิริโภคาภิรมย์ และคนอื่น ๆ. (2547). พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. ลพบุรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี.

มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. (2553). 9 ทศวรรษ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. ลพบุรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี.

มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. (2553). จากลวะศรีสู่เทพสตรี. ลพบุรี : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี.

วิทยาลัยครูเทพสตรี. (2528). 65 ปี ลวะศรี-เทพสตรี. ลพบุรี : วิทยาลัยครูเทพสตรี.

สถาบันราชภัฏเทพสตรี. (2538). 75 ปี ราชภัฎเทพสตรี. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี.

ลักษณะต้นหางนกยูง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/. (วันที่ค้นข้อมูล 13 มีนาคม 2562).